สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย เมื่อวันที่ 7 ส.ค.ว่าสำนักงานสาธารณสุขรัฐนิวเซาท์เวลส์ ซึ่งมีประชากรมากที่สุดในออสเตรเลีย รายงานสถิติผู้ป่วยยืนยันจากโรคโควิด-19 จำนวน 321 คน ในรอบ 24 ชั่งโมงที่ผ่านมา เป็นสถิติรายวันสูงสุดของรัฐนิวเซาท์เวลส์ โดยแบ่งเป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ 2 คน และการติดเชื้อภายในชุมชน 319 คน ทำให้ตอนนี้รัฐนิวเซาท์เวลส์มีสถิติผู้ป่วยสะสมจากโรคดังกล่าวอย่างน้อย 10,478 คน
ขณะที่ผู้ป่วยอีกอย่างน้อย 345 คน ยังคงต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล ส่วนสถิติผู้เสียชีวิตสะสมมีจำนวนอย่างน้อย 84 ราย ปัจจุบัน เมืองซิดนีย์ ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของออสเตรเลีย และอีก 3 เขตใกล้เคียง ได้แก่ เซ็นทรัล โคสต์ บลู เมาเทนส์ และโวลลองกอง อยู่ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์ตั้งแต่วันที่ 26 มิ.ย.ที่ผ่านมา และคำสั่งรอบล่าสุดจะครบกำหนดในวันที่ 28 ส.ค.นี้ 
ขณะเดียวกัน ทางการรัฐนิวเซาท์เวลส์สั่งล็อกดาวน์ภูมิภาคนิวคาสเซิล ครอบคลุมเมืองนิวคาสเซิล ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของรัฐ เป็นเวลาอย่างน้อย 7 วัน เริ่มตั้งแต่ช่วงเย็นของวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา หลังพบอัตราการติดเชื้อภายในชุมชนบริเวณนั้นเพิ่มขึ้น
ในอีกด้านหนึ่ง รัฐวิกตอเรียซึ่งอยู่ติดกัน และเป็นสถานที่ตั้งของเมืองเมลเบิร์น เมืองใหญ่อันดับสอง พบผู้ป่วยในชุมชนเพิ่มขึ้น 29 คน มากที่สุดนับตั้งแต่ต้นปีนี้ และรัฐควีนส์แลนด์ ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของเมืองบริสเบน เมืองใหญ่อันดับสาม พบผู้ติดเชื้อในชุมชนเพิ่มขึ้น 13 คน โดยทั้งสองรัฐยังคงอยู่ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์ บ่งชี้ความรวดเร็วในการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตา
ส่วนนายกรัฐมนตรีสกอตต์ มอร์ริสัน ยังคงตกเป็นเป้าหมายของการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากหลายฝ่าย เกี่ยวกับการจัดสรรและกระจายวัคซีนที่ "ล่าช้าเกินไป" ซึ่งนับตั้งแต่เริ่มฉีดวัคซีนเมื่อปลายเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา มีประชากรเพียง 20% จากทั้งประเทศซึ่งมีจำนวนเกือบ 26 ล้านคน ได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ครบแล้ว.

เครดิตภาพ : REUTERS