เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2565 นักปีนเขาชาวฝรั่งเศสพบโครงกระดูกมนุษย์ในบริเวณธารน้ำแข็งเชสส์เยน ซึ่งอยู่ทางใต้ของรัฐวาเลส์ในสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยืนยันว่าเป็นข่าวจริงเมื่อวันที่ 8 ส.ค. ที่ผ่านมา และได้ขนย้ายโครงกระดูกเหล่านั้นโดยทางอากาศเรียบร้อยแล้ว

ดาริโอ แอนเดนแมตเทน ผู้ดูแลกระท่อมพักแรมบนเขาซึ่งนักปีนส่วนใหญ่ใช้เป็นจุดเริ่มต้นในการปีนขึ้นสู่เทือกเขาด้านบน ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า โครงกระดูกดังกล่าวอยู่ใกล้กับเส้นทางเดินเขาเส้นเก่าซึ่งไม่มีการใช้งานมานานราว 10 ปีแล้ว การที่นักปีนเขาทั้งสองไปเจอศพนั้น อาจเป็นเพราะพวกเขาใช้แผนที่เดินเขาฉบับเก่า

เนื่องจากศพดังกล่าวเหลือเพียงโครงกระดูก แอนเดนแมตเทน จึงคาดว่าผู้ตายน่าจะเสียชีวิตในระหว่างทศวรรษที่ 70-80 หรือประมาณ 50 กว่าปีก่อน

เมื่อเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา ก็มีการพบศพไปแล้ว 1 ศพที่ธารน้ำแข็งสต็อกจี ใกล้กับรีสอร์ทสกีแซร์มัตต์ ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของยอดเขาแมตเทอร์ฮอร์น ทางตำรวจของวาเลส์ กล่าวว่า การระบุอัตลักษณ์ของศพเหล่านี้ จำเป็นต้องอาศัยการวิเคราะห์และเปรียบเทียบดีเอ็นเอ ซึ่งต้องใช้เวลานานหลายวัน

ลุค เลอชานวน หนึ่งในสองนักปีนเขาชาวฝรั่งเศสที่พบศพ ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวท้องถิ่นว่า ร่างของผู้เสียชีวิตอยู่ในลักษณะแห้งกรังเหมือนมัมมี่และมีความเสียหายเพียงเล็กน้อย เมื่อดูจากเสื้อผ้าของศพที่มีการใช้เนื้อผ้าแบบสีสะท้อนแสงแล้ว น่าจะเป็นสไตล์การแต่งกายของคนในยุคทศวรรษที่ 80 

ในช่วงต้นเดือน ส.ค.นี้ ไกด์นำทางในท้องที่ก็พบซากเครื่องบินตกที่บริเวณธารน้ำแข็งอาเลตช์ ซึ่งทางตำรวจท้องถิ่นได้ออกแถลงการณ์ว่า ทีมสืบสวนสันนิษฐานว่า ชิ้นส่วนของซากเครื่องบินเป็นของเครื่องบินเล็กรุ่น Piper Cherokee ซึ่งประสบเหตุชนภูเขาและตกลงมาในวันที่ 30 มิ.ย. 2511 

เมื่อ 50 ปีก่อน การเก็บกู้ซากเครื่องบินทำได้ยากมากเพราะสภาพภูมิประเทศ แต่ปัจจุบัน สภาวะโลกร้อนทำให้ธารน้ำแข็งเริ่มละลายเร็วขึ้นและมากขึ้น จึงทำให้ชิ้นส่วนของซากเครื่องบินเริ่มปรากฏออกมาให้เห็น หลังจากโดนแช่แข็งในน้ำแข็งและหิมะมาเป็นเวลานาน ขณะเดียวกัน ประชาชนในแถบเทือกเขาแอลป์เริ่มประสบปัญหาในการใช้ชีวิตเพราะอุณหภูมิที่สูงขึ้นกว่าปกติในฤดูร้อน อันเนื่องมาจากคลื่นความร้อนอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

แหล่งข่าว : theguardian.com

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES