เมื่อวันที่ 18 ก.ย. ที่ซอยเพิ่มสิน 1 เขตสายไหม กทม. คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย พร้อมด้วย น.ต.ศิธา ทิวารี เลขาธิการพรรคไทยสร้างไทย น.ส.รัตติกาล แก้วเกิดมี ส.ก.เขตสายไหม ลงพื้นที่มอบข้าวสารให้กับพี่น้องประชาชนผู้ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ที่ชุมชนเพิ่มสินถมยา ซอยเพิ่มสิน 1 พร้อมเปิดตัว นายสมชาย เวสารัชตระกูล ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขตสายไหม 

คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า การสร้างพรรคไทยสร้างไทย เป็นภารกิจสุดท้ายที่สุดารัตน์จะทำ ซึ่งช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่ประชาชนทุกข์และยากลำบากมากที่สุด ตลอด 30 ปีที่ทำงานการเมือง ยังไม่เคยเห็นบ้านเมืองตกต่ำมากเท่านี้ ตนไปทั่วประเทศทุกคนเข้ามากอดเข้ามาร้องไห้ระบายสิ่งที่พบเจอว่าเดินต่อไปไม่ไหว ตนจึงแบกรับภาระความทุกข์เหล่านี้ไว้บนอก จึงคิดทำต่อเพื่อทำพรรคของประชาชนและเพื่อคนตัวเล็ก ไม่ได้ทำพรรคเพื่อคิดว่าอยากได้ ส.ส.เท่านั้นเท่านี้ หรือหวังโควตารัฐมนตรี แต่ครั้งนี้ต้องการมาร่วมเปลี่ยนประเทศ ช่วยคนตัวเล็กหายจนหมดหนี้และมีรายได้อย่างยั่งยืนให้ได้ ตนไม่เคยมีเรื่องทุจริตโกงกิน หลายนโยบายทำจนสำเร็จ ไม่ใช่ทิ้งกัน 3 ปี หรือ 8 ปีแล้ว ภารกิจสุดท้ายก่อนจบชีวิตการเมือง ตนพูดคำไหนรักษาสัญญาและคำพูด ไม่ใช่บอกจะทำตามสัญญาขอเวลาอีกไม่นาน ส่วนวันนี้ใครจะด่าจะว่าอย่างไรไม่โต้ตอบ การเมือง 2 ขั้วขอให้มันจบที่ 16 ปี ที่เลือกฝั่งหนึ่งก็ติดล็อก เลือกอีกฝั่งหนึ่งต้องติดหล่ม ให้มันจบที่พรรคไทยสร้างไทย ขอเป็นทางเลือกทางรอดประเทศ

จากนั้นคุณหญิงสุดารัตน์ พร้อมคณะ ลงพื้นที่มอบข้าวสารให้กับพี่น้องประชาชนผู้ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ที่หมู่บ้านเอื้ออาทรบางเขน (คลองถนน)

หลังจากนั้น คุณหญิงสุดารัตน์ได้กล่าวถึงกรณีสภาผู้แทนราษฎร ผ่านร่าง พ.ร.บ.เงินกองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) โดยไม่เก็บดอกเบี้ยและค่าปรับใช้หนี้ล่าช้า ว่า การลงมติของสภาเป็นเหมือนนโยบายประชานิยม มุ่งแต่การหาเสียง โดยไม่ได้คำนึกถึงผลที่ตามมา และจริงๆเรื่อง กยศ. มันมีปัญหาที่หลักการและ ระบบของการคิดหนี้ ทุกอย่างถูกโอนไปที่โรงเรียน พอเด็กเรียนจบแล้วขาดการติดต่อกับโรงเรียน เขาก็ไม่รู้ว่า จะต้องไปผ่อนจ่าย กยศ.ที่ไหน และไม่ได้วางระบบให้เด็กเข้าใจเรื่องของความเป็นลูกหนี้ เพราะจากการพูดคุยกับเด็กที่ติดหนี้ กยศ.พบว่า ส่วนใหญ่เขาไม่ได้ตั้งใจให้เป็นหนี้เสีย แต่พอมีงานทำพบว่าหนี้รวมเป็นก้อน มีค่าปรับที่สูงแล้ว ทำให้เขาไม่มีปัญญาที่จะส่งเงินคืนกลายเป็นหนี้เสีย ดังนั้นเรื่องนี้ไม่ควรแก้ไขแค่ว่า จะเก็บดอกเบี้ยหรือไม่เก็บดอกเบี้ย แต่ควรใช้วิธีการที่แก้ปัญหาให้ตรงจุดเช่น คนที่เป็นหนี้เสีย เขาทำหนี้เสีย เพราะอะไร ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ 

“สภาตัดสินใจแบบเสื้อโหล ไม่ได้ดูปัญหาเงื่อนไขอะไรเลย เอาง่ายเข้าว่า คำถามว่า วันนี้ต้องแก้หนี้ กยศ.ไหมต้องแก้ แต่ต้องแก้อย่างเป็นระบบ โดยให้เด็กเข้ามาสู่ระบบของการแก้หนี้ การไม่คิดดอกเบี้ยทำได้ แต่ต้องไม่ก่อให้เกิดการกระทำตามหรือการสร้างหนี้เสีย สำหรับพรรคไทยสร้างไทย เราไม่คิดแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุแบบนี้ เรามีการวางระบบล้างหนี้ กยศ.ให้กับเด็กทุกคนที่เป็นหนี้อย่างเป็นธรรม พร้อมเสนอให้ใช้วิธีการเรียนฟรีจนจบปริญญาตรี ซึ่งหากเป็นนโยบายนี้ ก็ไม่จำเป็นจะต้องพูดถึงการกู้หนี้ยืมสิน” คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าว

ทางด้าน น.ต.ศิธา กล่าวถึงกรณีสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับระยะเวลาในการหาเสียงเลือกตั้งที่ใกล้ถึงระยะเวลา 180 วัน ก่อนวันครบอายุของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะครบอายุสภาวันที่ 23 มี.ค.66 โดยมีการระบุข้อห้ามผู้สมัครในเรื่อง่างๆ เช่น การจะไปแจกของให้ผู้ประสบภัยน้ำท่วม หรือแจกของเกี่ยวกับโควิด ไม่สามารถทำได้ ว่าเรื่องนี้ต้องขอบคุณกกต. ที่มีความชัดเจนและแจ้งล่วงหน้า เพราะที่ผ่านมาการดำเนินการของหน่วยงานรัฐและองค์กรอิสระยังคลุมเครือ แต่ กกต.บอกมาชัด เช่นต่อไปนี้แจกของไม่ได้แล้วอะไรเหล่านี้ ถือเป็นเรื่องดี แต่มีคำถามต่อว่าถ้าแจกไม่ได้ชาวบ้านเดือดร้อนแล้วใครดูแลชาวบ้าน ถ้านักการเมืองหรือฝ่ายการเมืองไม่กล้าดูแล ดังนั้นรัฐบาลต้องดูแลประชาชนเต็มที่ ซึ่งเรายินดีถือว่าประชาชนได้ประโยชน์ แต่ทุกครั้งรัฐบาลกลับทำไม่ถึง กลายเป็นนักการเมืองท้องถิ่น หรือชาวบ้านร่วมแรงร่วมใจกัน เช่นตอนสถานการณ์โควิดที่หน่วยงานรัฐ ยังสู้มูลนิธิเส้นด้ายไม่ได้ เหล่านี้เป็นสิ่งที่รัฐต้องแก้ไข

น.ต.ศิธา กล่าวอีกว่า เชื่อว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะทำให้บริสุทธิ์ยุติธรรมมากขึ้น ซึ่งการประกาศดังกล่าวของ กกต. ไม่ได้ทำให้การแนะนำตัวของผู้สมัครยากขึ้น เพราะ ผู้ที่มาลงสมัครเลือกตั้งส่วนใหญ่ทำประโยชน์ให้กับประชาชนในพื้นที่อยู่แล้ว คนที่ช่วยทุกวันประชาชนในพื้นที่รู้จักอยู่แล้ว ซึ่งการที่กฎหมายบอกอะไรทำได้หรือทำไม่ได้เราก็ไม่ทำ แต่การเลือกตั้งที่ผ่านเป็นซ้ายกับขวา ผลประโยชน์อยู่ที่พรรคการเมืองไม่ใช่ประชาชน

เมื่อถามว่า อยากฝากอะไรถึง กกต. เพื่อให้การเลือกตั้งที่จะถึงนี้มีความเท่าเทียมหรือไม่ น.ต.ศิธา กล่าวว่า ที่ กกต.ประกาศต่อสาธารณชนถือเป็นการสื่อสารบนโต๊ะที่ชัดเจน ดังนั้นใต้โต๊ะก็ต้องชัดเจนคนทำผิดต้องได้รับวินิจฉัยที่เป็นธรรม ซึ่งไม่ได้หมายความว่ากกต.ไม่เป็นธรรม แต่ที่ผ่านมาหน่วยงานรัฐหรือองค์กรอิสระที่ตั้งโดย คสช. ไม่ได้ทำเพื่อสนองประชาชน จึงอยากให้ กกต.กำกับดูแลให้ดี

เมื่อถามว่า พรรคไทยสร้างไทยจะมีเซอร์ไพร์สเรื่องการย้ายขั้วหรือควบรวมพรรคหรือไม่ น.ต.ศิธา กล่าวว่า ถ้ามีการควบรวมพรรคเราเองก็เซอร์ไพร้ส์ ตนจะพูดแบบตรงไปตรงมาว่าปัจจัยรวมหรือไม่รวมพรรคอยู่ที่สูตรหาร 100 หรือหาร 500 ถ้าหาร 100 พรรคใหญ่ได้เปรียบ ถ้าหาร 500 พรรคเล็กได้เปรียบ เช่น ก้าวไกลที่จะโดนตัดไปถึง 8 คน เหล่านี้เป็นกระบวนการที่ทำให้พรรคใหญ่และพรรคเล็กได้เปรียบเสียเปรียบต่างกัน ถ้าหาร 100 พรรคใหญ่วินๆ พรรคเล็กวิ่งรวมกัน ถ้าหาร 500 พรรคเล็กวินๆ อีกทั้งตัวเลขที่มีนัยสำคัญคือต้องมี ส.ส. 25 ที่นั่ง ถึงจะทำให้แคนดิเคตนายกรัฐมนตรีมีผล การรวมพรรคจะเกิดขึ้นได้ ดังนั้นกฎหมายเลือกตั้งออกมาเกิดพลิกไปหาร 500 เซอร์ไพร้ส์ก็จะเกิดขึ้นเยอะ ไม่เช่นนั้นจะไม่ได้เสนอคนเป็นแคนดิเดตนายกฯ