บริษัทอี-คอมเมิร์ซชื่อดัง ‘ช้อปปี้’ กำลังดำเนินการปลดพนักงานออกจากตำแหน่งจำนวน 180 คน ในสาขาอินโดนีเซีย คิดเป็นสัดส่วน 3% ของจำนวนพนักงานทั้งหมด

สื่อท้องถิ่นของสิงคโปร์รายงานว่า ก่อนหน้านี้ พนักงานของ ช้อปปี้ ในสิงคโปร์และจีนเริ่มได้รับจดหมายแจ้งเรื่องการปลดออกจากตำแหน่งกันแล้ว อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทยังไม่ได้ระบุจำนวนที่แน่ชัดของพนักงานที่ต้องการปลดออกอย่างเป็นทางการ

ส่วนในแถลงการณ์ของ ช้อปปี้ สาขาอินโดนีเซีย อ้างเหตุผลในการตัดสินใจปลดพนักงานว่าเพื่อแก้ไขปัญหาด้านประสิทธิภาพและเป็นการปรับเปลี่ยนเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของบริษัทที่มีการเปลี่ยนแปลง

ราดีนัล นทาประวิระ หัวหน้าแผนกประชาสัมพันธ์ของ ช้อปปี้ อินโดนีเซีย ชี้แจงว่า เนื่องจากเงื่อนไขของเศรษฐกิจโลกทำให้ทางบริษัทจำต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว รวมทั้งประเมินและจัดลำดับความสำคัญทางธุรกิจเพื่อให้กิจการดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และกล่าวว่าการตัดสินใจครั้งนี้เป็นการตัดสินใจที่ยากมาก

สื่อท้องถิ่นของอินโดนีเซียรายงานว่า พนักงานที่เข้าข่ายโดนปลดออกในอินโดนีเซียนั้น มีตั้งแต่ระดับหัวหน้าแผนก ผู้อำนวยการ ผู้จัดการอาวุโสไปจนถึงพนักงานระดับล่าง 

พนักงานเหล่านี้จะได้รับเงินชดเชยรวมทั้งค่าตอบแทนและผลประโยชน์อันพึงได้ของพนักงานเมื่อออกจากงานในบริษัท ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายของอินโดนีเซีย และยังคงสามารถใช้สิทธิประกันสุขภาพของบริษัทต่อไปได้จนถึงสิ้นปีนี้

ระหว่างนี้ ช้อปปี้ กำลังมุ่งเน้นเรื่องการปรับเปลี่ยนเพื่อปรับประสิทธิภาพและค่าใช้จ่ายของบริษัท ก่อนหน้านี้ในช่วงต้นเดือน ช้อปปี้ ได้ตัดสินใจปิดกิจการในประเทศอาร์เจนตินา ชิลี โคลัมเบียและเม็กซิโก

นอกจากนี้ ยังมีข่าวว่า ฟอเรสต์ หลี่ ซีอีโอของ บริษัท Sea Group ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ ช้อปปี้ ประกาศในหนังสือเวียนของบริษัทว่า ทีมผู้บริหาร Sea Group จะไม่ยอมรับเงินชดเชยในรูปของเงินสดจนกว่าบริษัทจะปรับตัวจนถึงจุดที่มีประสิทธิภาพและความสมดุล นอกจากนี้ ยังกำหนดให้พนักงานที่ต้องเดินทางด้วยเครื่องบิน สามารถเลือกได้แต่ที่นั่งชั้นประหยัดเท่านั้น รวมถึงจำกัดเบี้ยเลี้ยงต่อวันอยู่ที่ 30-150 เหรียญสหรัฐ (ราว 1,100-5,540 บาท)

ในเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา ช้อปปี้ ได้ปลดพนักงานในสาขาต่างประเทศหลายแห่ง โดยในตอนแรกนั้น เป็นการปลดพนักงานส่วนของ ShoppeFood และ ShoppePay 

จนถึงตอนนี้ บริษัท Sea Group ซึ่งมีฐานอยู่ที่สิงคโปร์สูญเสียมูลค่าทางการตลาดไปแล้วเกือบ 170,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 6.2 ล้านล้านบาท) ส่วนมูลค่าหุ้นของบริษัทตกลงไปถึง 2.6% 

แหล่งข่าว : techinasia.com

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES