ยังคงเดินหน้าช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด 19 อย่างต่อเนื่อง สำหรับ หมอริท – เรืองฤทธิ์ ศิริพานิช ที่ได้ร่วมกับทีมแพทย์และอาสาสมัคร ผุดโครงการ “หมอริทช่วยโควิด” พร้อมเปลี่ยนคลินิกความงาม เป็นศูนย์อำนวยการช่วยเหลือแบบเต็มรูปแบบ โดยมีเคสเข้ามาขอความช่วยเหลือเป็นจำนวนมาก และล่าสุด หมอริท ได้โพสต์คลิปขณะแพ็ค “ยาต้านไวรัส” ส่งไปให้ผู้ป่วย พร้อมข้อความ “ไม่ขาย! แจกฟรี! ตามข้อบ่งชี้! “หมอริทช่วยโควิด” ส่งยาเข้าปากคนไข้เร็วที่สุด…ลดอัตราป่วยหนัก ลดอัตรานอนรพ. ลดอัตราการตาย”

 
 
 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

A post shared by Ritz Rueangritz S. (@ritz_rueangritz)

โดย หมอริท ได้เปิดใจถึงการที่ลุกขึ้นมาทำโครงการ “หมอริทช่วยโควิด” ว่าผ่านยูทูปช่อง MhorRitz บอกว่า เริ่มจากปัญหาการติดเชื้อโควิดในบ้านเรา ที่ตัวเลขค่อย ๆ มาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทุกวัน ตอนที่เริ่มเข้ามาทำโครงการผู้ติดเชื้อใหม่อยู่หลักหมื่น ตอนนั้นเริ่มเข้าไปศึกษาหน่วยงาน และเพจอาสาต่าง ๆ ก็เจอปัญหาเดียวกันว่าคนไข้ต้องการติดต่อเข้าไปรับการรักษา ไม่ว่าจะเป็นรักษาที่โรงพยาบาลหรือรักษาตัวที่บ้าน ปรากฏว่าคนไข้ติดต่อไปแต่ไม่ได้การติดต่อกลับ หรืออยู่ในช่วงที่รอการติดต่อกลับ ซึ่งกระบวนการพวกนี้ค่อนข้างนอน จากเคสที่อาการน้อย ก็กลายเป็นหนักขึ้น  หรือเป็นเคสที่เสียชีวิตก็มี ซึ่งเรารู้สึกว่ามันมีการสูญเสีย ที่เกิดขึ้นในช่องว่างตรงนี้ ที่ระบบสาธารณสุขบ้านเราอาจรองรับผู้ป่วยที่เพิ่มมากขึ้นไม่ทัน

พอติดต่อได้ก็ต้องรอระยะเวลาในการขนส่งยาต่าง ๆ มาถึงผู้ป่วย รวมกันก็ไปประมาณ 5 วันแล้ว ซึ่งมันทำให้คนไข้อาจแย่ลงได้ในช่วงนี้ จากที่ต้องรักษาตัวที่บ้านได้ ก็กลายเป็นต้องไปนอนโรงพยาบาล เลยก็มองว่าจะทำยังไงให้ส่งมือยาไปถึงมือผู้ป่วยให้เร็วที่สุด

ในส่วนของวิธีดูแลผู้ป่วย หมอริท บอกต่อว่า เราได้ใช้อาสาสมัครที่เป็นบุคคลทั่วไปตอบไลน์ ให้ซักประวัติ โดยมีแพทเทิร์นให้ถาม เรื่องที่ต้องสกรีน พอผ่านขั้นตอนนี้ก็ไปแจ้งทางทีมแพทย์ แพทย์ก็จะประเมินอาการแล้วจ่ายยา ในหนึ่งวันก็จะรวมชื่อมาที่ริท และริทจะเป็นคนปิดเคสว่าคนไข้คนดังกล่าวต้องได้ยาอะไรบ้าง เช็คประวัติอีกรอบเพื่อให้เกิดความผิดพลาดน้อยที่สุด และทีมอาสาส่งของ ก็จะส่งของแบบวันต่อวันเลย โดยเฉพาะเคสสีแดง และสีเหลืองเข้ม ส่วนเคสสีเหลืองอ่อนอาจรอออกไปหน่อย เป็น 48 ชั่วโมง แต่กระบวนการทุกอย่าง ยาต้องถึงมือคนไข้ภายใน 2 วัน ซึ่งภายใน 2 วันนี้ คนไข้อาการเปลี่ยนแปลงน้อย ถ้าได้รับยาเร็ว โรคก็จะไม่หนัก ลดอัตราคนนอนโรงพยาบาลและลดอัตราคนตาย เรามองว่าเราช่วยคนได้จริง

ณ  ตอนนี้โครงการ “หมอริทช่วยโควิด” ดูแลคนไข้อยู่ที่ 2 หมื่น 4 พันคน แต่รับเข้ามาในระบบ Home Isolation ที่ต้องติดตามอาการจนครบ 14 วัน ประมาณ 3 พันคน ส่วนวิธีการแบ่งสีเคส ในโครงการ “หมอริทช่วยโควิด” ได้แบ่งความตามเร่งด่วน เพื่อดูแลคนหมู่มาก เช่น เคสสีแดง เป็นกลุ่มที่เชื้อลงปอด หายใจผิดปกติ เราต้องเทคแอคชั่นแบบเร่งด่วน มีการส่งยาต้านไวรัส ลดการอักเสบของปอด ส่งอ๊อกซิเจน และหาเตียง ซึ่งเคสสีแดงดูแลแบบ ระบบ Home Isolation ค่อนข้างลำบาก แต่เราต้องดูแลไปก่อนถึงมือแพทย์ เพราะการสูญเสียก็เกิดในช่วงนี้

โดยสิ่งที่ผู้ป่วยได้รับ คือเซ็ทยาตามอาการ เช่น ยาแก้ไอ แก้แพ้ ลดไข้ เป็นต้น ปรอทวัดไข้ เครื่องวัดอ๊อกซิเจน  กลุ่มยาต้านไวรัส  ฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) , กลุ่มยาลดการอักเสบของปอด และพวกข้าวสาร อาหารแห้ง น้ำดื่มต่าง ๆ และอาหารปรุงสุก ที่จะมีคนไปส่งในช่วง 14 วันที่กักตัว

หมอริท กล่าว เพิ่มเติมว่า ของส่วนใหญ่ที่ได้รับ เช่น อาหารแห้ง น้ำดื่ม ยาตามอาการบางส่วน เกิดจากการบริจาคของคนที่เข้ามาช่วยเหลือกัน รวมถึงตัวริทก็บริจาคในส่วนที่ต้องใช้เงิน เช่น ยาต้านการอักเสบของปอด เป็นยาควบคุม คนบริจาคไม่ได้ และเรายังเบิกไม่ได้ เราก็ต้องออกทุนเอง ส่วนยาต้านไวรัส และยาตามอาการบางอย่าง เราก็เบิกผ่านสภากาชาดไทยได้ โครงการนี้โชคดี พอแจ้งออกไปก็ได้รับการฟีดแบ็กที่ดี คนบริจาคเยอะมาก ตอนนี้ความช่วยเหลือเพียงพอแล้ว ขอปิดรับบริจาคก่อน จะทยอยใช้ของที่มีออกไปก่อน เดี๋ยวถ้าขาดแคลนอีกรอบ ก็จะเปิดรับบริจาคใหม่ และอะไรที่เกินความจำเป็น เราก็จะไปส่งต่อโครงการที่เป็นจิตอาสาอื่น ๆ ต่อ

หมอริท ทิ้งท้ายว่า สถานการณ์การระบาดโควิดในไทยค่อนข้างรุนแรง อยากฝากว่าเจ้าหน้าที่ภาครัฐ หน่วยงานต่าง ๆ ก็ทำงานเต็มที่ สิ่งที่จะช่วยกันได้ดีคือตัวผู้ป่วย ก็สามารถช่วยทีมแพทย์ได้ด้วยการไม่ลงข้อมูลซ้ำซ้อน ไม่ส่งประวัติเกินจริง รู้วิธีวัดออกซิเจนปลายนิ้วที่ถูกต้อง ทานยาและคำแนะนำที่แพทย์แนะนำ ให้เชื่อและปฏิบัติตาม ยังย้ำคำเดิมว่าผู้ป่วยโควิด ไม่จำเป็นต้องไปโรงพยาบาลเสมอไป มาดูแลแบบกักตัวอยู่ที่บ้าน ให้โอกาสในการได้เตียง กับคนที่ต้องการเตียงจริง ๆ ดีกว่า

ทั้งนี้ในโลกออนไลน์ได้มีการแชร์ข้อความถึงการได้รับความช่วยเหลือจาก “หมอริทช่วยโควิด” เป็นจำนวนมาก ทั้งในเรื่องที่ได้รับยารวดเร็ว รวมถึงการสอบถามติดตามอาการอย่างใกล้ชิด รวมถึงยังมีเสียงชื่นชมมากมายอีกด้วย

อย่างไรก็ดีเมื่อเร็ว ๆ นี้ โครงการ “หมอริทช่วยโควิด” โดย หมอริท และทีมแพทย์ จิตอาสาโครงการ  ได้ขอประกาศยกระดับการช่วยเหลือผู้ป่วยโควิดเป็นการดูแลแบบ Home Isolation อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยที่รอรับการรักษา และผู้ป่วยที่ยังเข้าไม่ถึงการรักษา รวมถึงช่วยเหลือภาครัฐในการดูแลผู้ป่วยให้ทั่วถึง เพราะเชื่อว่า “ยิ่งเร็ว ยิ่งรอด” หมายความว่า ยิ่งเข้าถึงการรักษาเร็ว ยิ่งเพิ่มโอกาสรอดชีวิต และ ลดอัตราการนอนโรงพยาบาล

ซึ่งผู้ป่วยในการรักษาแบบ Home Isolation กับทาง “หมอริทช่วยโควิด” จะได้รับยา, อุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมถึงอาหาร (ตามแต่แพทย์ประเมินและความจำเป็น) ซึ่งสิ่งของเหล่านี้มาจากน้ำใจ การบริจาคของประชาชนทุกคน รวมถึงได้รับการช่วยเหลือจากสภากาชาดไทย และ สปสช. ที่สนับสนุนยาต้านไวรัสและยาตามอาการบางส่วน และตอนนี้ผู้ป่วยโควิดที่ติดต่อผ่านช่องทางนี้ จะถูกส่งชื่อเข้าระบบ สปสช. โดยไม่ต้องไปหาที่ติดต่ออื่นแล้วอีกด้วย

นอกจากนี้ หมอริท ยังได้มีการแสดงความคิดเห็น ต่อการที่ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้เปิดเผยว่า ล็อกดาวน์เริ่มได้ผล  แนวโน้มตัวเลขผู้หายป่วย “โควิด-19” กลับบ้านเริ่มมากกว่าผู้ป่วยโควิดรายใหม่ ส่งสัญญาณมีเตียงเพียงพอ ลดความกดดันบุคลากรทางการแพทย์ ที่ประกาศออกมาเมือวันที่ 11 ส.ค. โดยหมอริท ได้ทวีตข้อความเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวว่า  หายป่วยกลับบ้าน คือรวมคนที่หายเองจากการเข้าไม่ถึงการรักษา และ หายป่วยจากการช่วยเหลือของอาสาด้วยหรือไม่? ผู้ป่วยรายใหม่ คือ ยังไม่รวมผู้ป่วย self ATK หรือไม่? ถ้าคำตอบคือ “ใช่” ข้อความนี้ก็ยังไม่ควรประกาศออกมานะครับ