เมื่อวันที่ 9 ต.ค. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. แถลงข่าวกรณีที่มีภาพผู้สื่อข่าวของสำนักข่าว CNN เข้าไปในที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นหลังแนวกั้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจทำให้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องของความเหมาะสม

มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ติดตามตัวผู้สื่อข่าวต่างประเทศทั้ง 2 คน มาสอบปากคำทราบว่า ทั้งคู่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยเมื่อวันที่ 6 ต.ค. ซึ่งเป็นวันที่เกิดเหตุ โดยเดินทางมาจากฮ่องกง จากภาพปรากฎที่ทั้งคู่เข้าไปในที่เกิดเหตุ คือวันที่ 7 หลังจากพิธีการวางพวงมาลา ช่วงเวลาประมาณ 10.00-12.00 น.

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เผยว่า จากที่มีการสืบสวนสอบสวนทั้งจากพยานบุคคลและภาพถ่ายทั้งหมด พบว่าทั้งคู่ไม่ได้มีเจตนาเข้าไปที่จะบุกรุก จากการตรวจสอบจากภาพของนักข่าวบางท่านก็จะเห็นภาพตรงกันและชัดแจ้งว่า มีเจ้าหน้าที่และมีประชาชนอยู่ในบริเวณดังกล่าวในช่วงเวลาที่ทั้งคู่เข้าไปจริง เมื่อทั้งคู่ได้เข้าไปภายในรั้วแล้ว และเดินไปด้านหลังของอาคารและได้พบกับเจ้าหน้าที่จึงสอบถามไปว่า ” Can I come in” เจ้าหน้าที่ก็มีการกวักมือเข้าไป ทั้งคู่จึงได้เข้าไป ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจเป็นเพราะการสื่อสารไม่ตรงกัน และหลังจากที่ทั้งคู่เข้าไปแล้วได้มีการถ่ายทำภาพข่าวเป็นเวลานาน เมื่อออกมาเจ้าหน้าที่ปิดกั้นพื้นที่จึงเห็นภาพที่ทั้งคู่ปีนรั้วออกมาด้านนอก

รอง ผบ.ตร. กล่าวอีกว่า จากการตรวจสอบพยานแล้วพบว่าทั้งคู่ไม่ได้มีเจตนาที่จะเข้าไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ได้ดูเจตนาเป็นหลัก จะเห็นได้ว่าหากกรณีเป็นผู้บุกรุกหรือกระทำความผิดจะต้องมีพฤติกรรมในการหลบหนี แต่ทั้งสองก็ได้กลับไปพักที่อุดรธานี ก่อนที่จะมาทำข่าวในพื้นที่ในวันรุ่งขึ้น โดยหลังจากนี้ทางผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้เน้นย้ำสั่งการให้พื้นที่เกิดเหตุตลอดจนบ้านของผู้ต้องหาเป็นพื้นที่ห้ามเข้าพร้อมเพิ่มความเข้มงวดตรวจตรามากยิ่งขึ้น

โดยหลังจากดำเนินคดีเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เปรียบเทียบปรับเป็นจำนวนเงินคนละ 5,000 บาท ฐานกระทำความผิด พรก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว เพิกถอนวีซ่า และดำเนินการให้ออกนอกประเทศตามกฎหมาย แต่ทั้งคู่แสดงความประสงค์จะเดินทางออกนอกประเทศทันที ซึ่งทางทีมข่าวก็ไม่สบายใจกับเหตุการณ์ดังกล่าว โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจะพาตัวไปยังสนามบินสุวรรณภูมิทันทีหลังจากนี้

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวว่า กรณีนี้เราพิจารณาดูแล้วว่าไม่ใช่ความผิดรุนแรงก็ไม่จำเป็นที่จะต้องขึ้นบัญชีแบล็กลิสต์ห้ามเดินทางเข้าประเทศ โดยเราก็อิงตามข้อเท็จจริงและให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้อาจจะต้องคุยกับทางสำนักข่าวเพื่อที่จะขอลบภาพในที่เกิดเหตุก่อนหน้านี้