เมื่อวันที่ 19 ต.ค. ที่ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป. พร้อมด้วย พ.ต.อ.พรศักดิ์ เลารุจิราลัย รอง ผบก.ป. พ.ต.อ.วิระชาญ ขุนไชยแก้ว ผกก.5บก.ป. พ.ต.ต.สุขสิทธิ์ ประเสริฐ สว.กก.5 บก.ป. ร่วมกันแถลงผลการจับกุม นายสิทธวีย์ (สงวนนามสกุล) อายุ 55 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาตลิ่งชัน ที่ จ.409/2565 ลงวันที่ 8 ก.ย. 65 ข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกง ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ร่วมกันทุจริต หรือ หลอกลวง โดยการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ” หลังจับกุมตัวได้ที่ โรงแรมแห่งหนึ่ง ภายในซอยลาดพร้าว 122 แขวงพลับพลา เขตวังทองหลาง กรุงเทพฯ

พล.ต.ต.มนตรี กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อปลายเดือน ก.ค. 64 นายสิทธวีย์ หรือ บอสเค ผู้ต้องหารายนี้ พร้อมพวก ได้จัดทำโครงการร้านสะดวกซื้อ-ขาย นำเข้าส่งออกสินค้าต่างประเทศ ผ่านแอพสมาร์ทพลัส ก่อนประกาศชักชวนประชาชนให้นำเงินมาร่วมลงทุนให้ผลตอบแทนสูง อาทิ เมื่อซื้อสินค้า 1 ชิ้นในราคา 1,200 บาท ครบ 7 วัน ผู้ซื้อจะได้รับเงินคืนจากโครงการ เป็นเงิน 1,500 บาท ซึ่งทางโครงการอ้างว่าเป็นเงินค่าโปรโมตสินค้า และหากสมาชิกท่านใดสามารถหาลูกค้ามาร่วมโครงการเพิ่ม ก็จะได้ผลตอบแทนมากยิ่งขึ้น ประกอบกับช่วงแรกมีการจ่ายค่าตอบแทนจริง จึงทำให้มีผู้หลงเชื่อนำเงินมาร่วมลงทุนเพิ่มมากขึ้น ตั้งแต่หลักแสนไปจนถึงหลักล้านบาท ก่อนจะเริ่มบ่ายเบี่ยงไม่จ่ายเงินค่าตอบแทน

พล.ต.ต.มนตรี กล่าวอีกว่า จากแนวทางสืบสวนยังพบว่า ต่อมา นายสิทธวีย์ ได้เกิดมีปัญหาขัดแย้งกับผู้บริหารในบริษัทสมาร์ทพลัส จึงแยกตัวออกมาตั้งบริษัท ซุปเปอร์เค 2999 ก่อนจะจัดทำโครงการขึ้นมาใหม่หลายโครงการ อาทิ โครงการศูนย์กระจายสินค้า โครงการตลาดนัด โครงการสร้างแอพพลิเคชั่น ฮัก เอสเค โครงการมาเก็ตติ้งซื้อสินค้าแล้วได้สินค้าและเงินค่าโปรโมตประชาสัมพันธ์ และโครงการครอบครัวซุปเปอร์เค คือ ให้สมาชิกบริจาคเงินมาเป็นกองทุนสวัสดิการ เพื่อหลอกระดมเงินลงทุนจากประชาชน โดยอ้างผลตอบแทนสูง ก่อนจะเบี้ยวจ่ายเงินค่าตอบแทน ที่ผ่านมามีผู้หลงเชื่อนำเงินมาน่วมลงทุนกว่า 5,000 ราย รวมมูลค่ากว่า 500 ล้านบาท มีการกระจายเข้าแจ้งความตามท้องที่ต่างๆ จนมีการออกหมายจับ กระทั่งต่อมาเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมทราบว่า ปัจจุบันได้หนีมากบดานอยู่ในพื้นที่ กทม. จึงนำกำลังตามจับกุมตัวได้ดังกล่าว

พ.ต.ต.สุขสิทธิ์ กล่าวว่า จากการสอบสวน นายสิทธวีย์ ให้การภาคเสธว่า ไม่ได้เจตนาโกง แต่เนื่องจากธุรกิจเกิดปัญหาขาดสภาพคล่อง ไม่สามารถหมุนเงินให้ลูกค้าได้ทัน จึงหยุดจ่ายเงินค่าตอบแทน เบื้องต้นจึงนำตัวส่ง พนักงานสอบสวน สถานีตำรวจรถไฟธนบุรี ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป.