เมื่อวันที่ 27 ต.ค. นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย (มท.) เปิดเผยว่า กระทรวง มท. ได้จัดทำแผนปฏิบัติการจัดการขยะมูลฝอยจังหวัดสะอาด เพื่อให้ทุกครัวเรือนได้รับการส่งเสริมและจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน ซึ่งถือเป็นการช่วยลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกจากการจัดการขยะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) ได้ให้ทุกจังหวัดแจ้งอำเภอและ อปท.ทุกแห่ง สำรวจและรายงานข้อมูลถังขยะเปียกลดโลกร้อนในระดับครัวเรือน ระดับโรงเรียนในสังกัด อปท. และศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในสังกัด อปท. ในระบบสารสนเทศการจัดเก็บข้อมูลเพื่อนำข้อมูลไปประกอบการรับรองคาร์บอนเครดิตในลำดับต่อไป 

นายสุทธิพงษ์ กล่าวว่า ปัจจุบันมีครัวเรือนที่จัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อนแล้ว 2,716,651 ครัวเรือน คิดเป็นจำนวนประชากร 9,175,452 คน ทำให้มีปริมาณขยะเปียกที่คัดแยกใส่ถังขยะเปียกลดโลกร้อน 843,958.07 ตัน/ปี คิดเป็นปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่สามารถลดได้ 122,711.50 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า/ปี โดยมีจังหวัดที่ทำถังขยะเปียกครบถ้วน 100% จำนวน 2 จังหวัด คือ ลำพูน และสมุทรสงคราม จังหวัดที่ทำถังขยะเปียก ร้อยละ 80-99.99 จำนวน 3 จังหวัด คือ อำนาจเจริญ สมุทรสาคร และเลย และจังหวัดที่ทำถังขยะเปียก ร้อยละ 50-79.99 จำนวน 5 จังหวัด คือ บุรีรัมย์ ชัยนาท ยโสธร สกลนคร และลพบุรี โดยได้เน้นย้ำให้ทุกจังหวัดจัดทำถังขยะเปียกให้ครบถ้วนทุกครัวเรือน ภายในวันที่ 30 พ.ย. นี้ 

นายสุทธิพงษ์​ กล่าวต่อว่า กระทรวง มท. ได้กำหนดแนวทางการขับเคลื่อนเพื่อเตรียมรับการทวนสอบภายใต้โครงการถังขยะเปียก ลดโลกร้อนของ อปท. ประเทศไทย (Internal Audit) ให้แก่จังหวัด อำเภอ และ อปท. ด้วยการขับเคลื่อนผ่านกลไกคณะกรรมการจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยในแต่ละระดับ และในระดับอำเภอ ให้มีการแต่งตั้งทีมปฏิบัติการเตรียมความพร้อมสำหรับการทวนสอบระดับอำเภอ โดยมีปลัดอำเภอประจำตำบลเป็นหัวหน้าทีมปฏิบัติการ ลงพื้นที่สุ่มตรวจครัวเรือนที่จัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อนของทุก อปท. และรายงานให้คณะกรรมการจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยอำเภอ เพื่อรวบรวมรายงานคณะกรรมการจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยจังหวัด และรายงานให้กระทรวง มท. ทราบในทุกวันที่ 20 ของทุกเดือน โดยในระยะเริ่มต้นได้กำหนดเป้าหมายการทวนสอบฯ เฉพาะประเภทครัวเรือน ในพื้นที่ 4 จังหวัดนำร่อง ได้แก่ สมุทรสงคราม ลำพูน อำนาจเจริญ และเลย

นายสุทธิพงษ์ กล่าวอีกว่า เพื่อให้เกิดการลดหรือกักเก็บก๊าซเรือนกระจก ซึ่งปริมาณที่ลดหรือกักเก็บได้นั้น เรียกว่าคาร์บอนเครดิต ที่ดำเนินการโดย อปท. สามารถนำมาซื้อขายกันเพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กรต่างๆ โดย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ได้ลงนามประกาศกระทรวง มท. เรื่อง การจัดการมูลฝอย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2565 เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการรองรับการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกอันเนื่องมาจากการจัดการมูลฝอยของ อปท. ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วและมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 26 ต.ค. เป็นต้นไป มีสาระสำคัญ ได้แก่ การกำหนดขั้นตอนการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิตของ อปท. ทั้งขั้นตอนการขอรับรองปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดหรือกักเก็บได้และบันทึกทะเบียนระบบคาร์บอนเครดิต และขั้นตอนการขายคาร์บอนเครดิต โดยดำเนินการตามระเบียบที่คณะกรรมการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกกำหนด 

นายสุทธิพงษ์ กล่าวด้วยว่า ซึ่งโครงการที่สามารถขอรับรองอาจเป็นโครงการที่ อปท. ดำเนินการเอง หรือ สถ. อาจดำเนินการแทน อปท. ตามกฎหมายว่าด้วยการรักษาความสะอาดและการรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง และสำหรับในการจัดตั้งงบประมาณเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการขอรับรองปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดหรือกักเก็บได้ของ อปท. สามารถดำเนินการได้ตามระเบียบกระทรวง มท. ว่าด้วยวิธีการงบประมาณของ อปท. และระเบียบที่เกี่ยวข้อง และเมื่อโครงการของ อปท. ได้รับการรับรองจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) แล้ว อปท. จะได้รับคาร์บอนเครดิตตามปริมาณที่สามารถลดหรือกักเก็บได้จริง โดยเปิดบัญชีรองรับคาร์บอนเครดิตกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ก่อนทำการซื้อขายคาร์บอนเครดิต 

“สำหรับโครงการถังขยะเปียกลดโลกร้อน ภายใต้แผนปฏิบัติการจัดการขยะมูลฝอยชุมชน “จังหวัดสะอาด” สถ. ได้ทำการรับรองปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดหรือกักเก็บได้เพื่อเป็นโครงการนำร่องสำหรับอปท.ทั่วประเทศเรียบร้อยแล้ว ยกเว้นกรุงเทพมหานคร ซึ่ง อปท. สามารถนำแนวทางดังกล่าวมาใช้เพื่อทำการซื้อขายคาร์บอนเครดิตต่อไป” นายสุทธิพงษ์ กล่าว

นายสุทธิพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในขั้นตอนต่อมา คือ ขั้นตอนการขายคาร์บอนเครดิต ในการเสนอขายคาร์บอนเครดิต อปท. อาจประกาศหรือประชาสัมพันธ์เชิญชวนผู้ที่สนใจตรวจสอบข้อมูลผ่านระบบบันทึกคาร์บอนเครดิตขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) และตกลงซื้อขายกับ อปท. ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยในการขายคาร์บอนเครดิตนั้น ให้นำหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดเกี่ยวกับการซื้อโดยวิธีเฉพาะเจาะจงตามกฎหมายว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงความเหมาะสมของราคาและระยะเวลาที่ผูกพันตามสัญญา โดยต้องไม่ก่อให้เกิดภาระผูกพันเกินสมควร และเงินที่ได้รับจากการขายคาร์บอนเครดิตถือเป็นรายได้ของ อปท. ที่สามารถนำไปใช้ดำเนินการได้ตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง.