กำลังเป็นที่วิจารณ์บนโลกออนไลน์ เมื่อมีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ออกมาโพสต์ข้อความเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับพ่อของเธอ หลังถูกครูท่านหนึ่งสวมสิทธิ นำเลขบัตรประชาชน 13 หลักของพ่อ ไปสอบบรรจุเป็นครู ยาวนานกว่า 39 ปี กระทั่งเรื่องแดงเพราะพ่อของเธออายุ 60 ปี ไปรับเบี้ยผู้สูงอายุ ปรากฏว่ารับไปสักพักเจอทวงเงินคืนหมด ด้วยเหตุผลที่ว่าพ่อของเธอเป็นข้าราชการ แต่เธอยืนยันว่าพ่อของตน ไม่ได้รับราชการ หนำซ้ำยังมีเอกสารยื่นภาษีมาที่บ้านอีกด้วย

เธอจึงไปตรวจสอบพบว่า พ่อน่าจะถูกสวมสิทธิบัตร โดยคนที่สวมบัตรของพ่อเธอไปสมัครเป็นข้าราชการ เธอจึงร้องเรียนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ตรวจสอบ ซึ่งก็มีการลงโทษคนที่สวมบัตรแล้ว ล่าสุดเจ้าตัวที่เป็นคนสวมบัตรได้เสียชีวิตไปแล้ว แต่พ่อเขาก็ยังคงเสียสิทธิ ยังรับเบี้ยผู้สูงอายุไม่ได้เหมือนเดิม

โดยผู้โพสต์เล่าว่า ‘ว่าด้วยเรื่องของพ่อ ฉันก็รู้สึกท้อขึ้นมาทันที พ่อถูกครูท่านหนึ่งสวมสิทธินำ เลขบัตรปชช. 13 หลัก ของพ่อ ไปศึกษาเล่าเรียน โดยใช้ชื่อว่า ครูปรีชา มหาวงค์ ซึ่งตัวพ่อฉันไม่เคยรู้เรื่องเลยว่าตัวเองถูกสวมสิทธิมานานแล้ว

จนตัวเองอายุ 60 ปี จะได้รับเบี้ยผู้สูงอายุ ได้เบี้ยผู้สูงอายุประมาณ 4-5 เดือนก็ถูก “เรียกคืน” เนื่องจากเลขบัตรปชช. 13 หลัก ของพ่อดันขึ้นว่าตนเองเป็นข้าราชการไม่สามารถรับเบี้ยผู้สูงอายุได้ แต่ความเป็นจริงแล้วพ่อของฉันไม่ได้มีการรับข้าราชการแต่อย่างใด และยังมีจดหมายเรียกเก็บภาษีมาที่บ้าน

จึงได้เข้าแจ้งความ ร้องศูนย์ดำรงธรรม และได้มีสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มาขอถ้อยคำ และตรวจสอบครูท่านนั้น พบว่า ครูท่านนั้นสวมสิทธิพ่อจริง เลยโดนโทษกระทำความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ตัวฉันเองก็ไม่ได้นิ่งเฉยติดตามเรื่องนี้มาตลอดไปสำนักงานไหนก็บอกให้รอ ไปฝ่ายทะเบียนราษฎร์ที่อำเภอก็ถูกปฏิเสธ

ณ ตอนนี้ก็รอและติดตามเรื่องนี้มาจะ 2 ปีแล้ว รอจนกระทั่งครูปรีชานั้นได้เสียชีวิต (ขอแสดงความเสียใจ) จนทุกวันนี้พ่อของฉันเองก็ยังไม่ได้รับสิทธิของตัวเองคืน สิทธิที่ตนเองจะได้ สิทธิต่าง ๆ ที่รัฐบาลให้ก็ถูกตัดสิทธิ สิทธิที่ประชาชนคนหนึ่งจะได้ก็กลับไม่ได้ หรือจะต้องรอให้พ่อตายไปอีกคนเรื่องนี้ถึงจะจบ

ทำไมถึงได้ถูกสวมสิทธิ ทำไมครูท่านนั้นถึงได้มีเอกสารของพ่อ ทำไมทะเบียนราษฎร์ที่อำเภอถึงแก้ไขปัญหานี้ไม่ได้ หรืออำนาจเงินเป็นใหญ่ และนี่คือข้อสงสัยของตัวฉัน? มีใครพอรู้ช่วยตอบฉันที? ฉันต้องหาความเป็นธรรมจากฝ่ายไหนดีล่ะ?’