เมื่อวันที่ 2 ก.ค. ที่กระทรวงสาธารณสุข เวลา 11.30 น. นพ.คำนวณ อึ้งชูศักดิ์ นายแพทย์ผู้ทรงคุณวุฒิผู้เชี่ยวชาญในด้านระบาดวิทยา ที่ปรึกษาด้านวิชาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวในการเสวนา “วัคซีนโควิด ไทยจะเดินต่อไปอย่างไร” ว่า บรรยากาศของประเทศไทยตอนนี้ เหมือนกับเรากำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ โดยช่วง 3 เดือนจากนี้ คือ ก.ค.-ก.ย.นี้ เรากำลังเลือกเอาว่า เราจะสามารถเปิดประเทศได้หรือเรากำลังก้าวเข้าสู่วิกฤติที่กำลังถลำลึกลงไปอีก

ทั้งนี้ ตนอยากเสนอข้อเท็จจริง 5 ข้อด้วยกันและทางเลือก 2 ทางเลือกที่จะฝ่าวิกฤตรอบนี้ จึงอยากจะขอให้ทุกฝ่ายช่วยคิดตาม ขณะนี้เราอยู่ในระลอก 3 จากสายพันธุ์อัลฟา (อังกฤษ) ที่ติดต่อได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เราตั้งตัวไม่ทัน เรามีคนไข้เสียชีวิตประมาณ 50 คนต่อวันในขณะนี้ คำถามว่าเดือนหน้า เดือนถัดไป อัตราการเสียชีวิตจะเป็นอย่างไรบ้างผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดลงความเห็นตรงกันว่าสถานการณ์จะแย่กว่าเดิมเหตุผลเพราะสายพันธุ์ใหม่หรือสายพันธุ์เดลตา (อินเดีย) เข้ามายึดครองการระบาด ซึ่งข้อมูลของกรุงเทพมหานครตอนนี้อยู่ที่ 40% แล้ว ในไม่ช้าเดือนนี้หรือเดือนหน้าจะเป็นเชื้อเดลตาทั้งหมด ซึ่งสายพันธุ์นี้ มีความสามารถในการแพร่เชื้อเร็วกว่าสายพันธุ์เดิม 1.4 เท่า

“เพราะฉะนั้นคิดง่ายๆ ว่าถ้าเผื่อเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมาเรามีคนเสียชีวิตทั้งเดือน 992 คน ซึ่งเป็นภาระใหญ่มาก ถ้าสถานการณ์ยังเป็นอย่างนี้เดือน ก.ค. เราจะมีคนเสียชีวิตประมาณ 1,400 คน ส.ค. 2,000 และพอถึงเดือน ก.ย. จะมีผู้เสียชีวิตเป็น 2,800 คน ตอนนี้เรามีผู้เสียชีวิต 900 กว่าคน ยังทำให้ระบบสาธารณสุขเดินหน้าต่อไปไม่ได้ และถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปก็แน่นอนว่าเราจะไม่สามารถไปรอดได้” นพ.คำนวณ กล่าว

นพ.คำนวณ กล่าวต่อว่า แต่มันมีทางออกคือร้อยละ 80 ของคนที่เสียชีวิตเป็นคนสูงอายุหรือเป็นคนที่มีโรคประจำตัว ถ้าเราสามารถปกป้องคนกลุ่มนี้ได้ ก็จะลดการเสียชีวิตลงได้อย่างมาก และอยู่ในวิสัยที่เราจะแก้ปัญหาได้ จากตัวเลขคนสูงอายุติดเชื้อ 100 คนจะเสียชีวิต 10 คน แต่ถ้าอายุน้อยแต่ติดเชื้อ 1 พันคนจะเสียชีวิต แตกต่างกันมาก เพราะฉะนั้นเรามีอาวุธที่ดีคือวัคซีน เป้าประสงค์แรกเราต้องการลดการเจ็บหนัก ลดการเสียชีวิตก่อน วัคซีนทุกตัวที่องค์การอนามัยโลกขึ้นทะเบียนส่วนใหญ่ได้ผลในการลดอาการหนัก ลดการเสียชีวิตได้ประมาณ 90% ดังนั้นไม่จำเป็นต้องไปสนใจเรื่องยี่ห้อ

ทั้งนี้ ประเทศไทยกำลังใช้ยุทธศาสตร์ที่จะสร้างภูมิคุ้มกันหมู่คือการฉีดแบบปูพรมให้คนไทยได้วัคซีน 70% โดยหวังว่าถ้าเราทำได้แบบนั้นจริงจะมีการติดเชื้อน้อยลง คนจะเสียชีวิตน้อยลง แต่ปัญหาถ้าเราจะทำอย่างนั้นได้ คือเรามั่นใจหรือไม่ว่า 70% จะสามารถสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้ นักวิชาการบางส่วนบอกว่าไม่ได้ เพราะในอังกฤษเริ่มมีคนติดเชื้อเยอะขึ้น เพราะฉะนั้นการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ อาจจะต้องไปถึง 90% และต้องใช้วัคซีนที่ดีมากๆ

แต่ถ้าเราต้องการลดการเสียชีวิตเราสามารถเปลี่ยนยุทธศาสตร์ได้ด้วยการใช้ยุทธศาสตร์แบบมุ่งเป้า ซึ่งเดิมเราใช้ยุทธศาสตร์ 2 ขั้นตอน ระยะแรกคือมุ่งเป้าฉีดคนสูงอายุและกลุ่มเสี่ยงให้จบภายในเดือน ก.ค.-ส.ค.แต่ ตอนหลังเนื่องจากเรามีความต้องการเยอะมาก เราต้องการให้ภาคโรงงานไม่เจ็บป่วย เราต้องการควบคุมการระบาด เวลาเกิดการระบาดในชุมชนเราจะไปฉีดวัคซีน เราต้องการเปิดโรงเรียนเราก็เอาวัคซีนไปให้กับสถาบันต่างๆ เราต้องการเปิดแหล่งท่องเที่ยวเอาวัคซีนไปให้ ซึ่งเป็นความคิดที่ดีแต่การจะทำอย่างนั้นได้มีเงื่อนไขสำคัญคือ 1. เราต้องมีวัคซีนไม่จำกัด มีมากเพียงพอ 2. เรามีขีดความสามารถในการฉีดได้อย่างรวดเร็ว เพราะสปีดการแพร่ระบาดเร็วมาก ตอนนี้ทุกประเทศยอมรับกันหมดว่าไม่มีประเทศไหนที่จะมีวัคซีนไม่จำกัด แม้กระทั่งอเมริกา อังกฤษหรือยุโรปซึ่งเป็นผู้ผลิตวัคซีนเอง ก็ยอมรับว่าไม่สามารถใช้วิธีการฉีดปูพรม สร้างภูมิฯ หมู่ได้อย่างรวดเร็ว จึงมาใช้การลดการป่วยการเสียชีวิตก่อน

หากสังเกต 1 เดือนที่ผ่านมาขีดความสามารถในการฉีดวัคซีนของไทยไม่ได้เป็นคำถาม เพราะเราฉีดได้ 10 ล้าน คนแต่ใน 10 ล้านคนเมื่อดูแล้วคนสูงอายุได้แค่ 10% ถ้าเราเดินแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆเพิ่มไปได้แค่เดือนละ 10% เราอาจจะต้องใช้เวลา 7-8 เดือนกว่าจะป้องกันคนสูงอายุได้ เพราะฉะนั้นเรามีทางเลือก 2 ทาง ทางที่ 1 คือทำแบบเดิมจะเห็นผลก็ต่อเมื่ออีก 5-6 เดือนซึ่งจะไม่ทันกับปัญหาวิกฤติของเตียง ข้อเสนอที่ 2 คือเปลี่ยนเอาวัคซีนที่มีอยู่ในมือ ถ้าเรายอมรับว่าวัคซีนมีอยู่จำกัด และพยายามหามาเดือนละ 10 ล้านโด๊สนั้น แต่ถ้าเผื่อไม่ได้ ก็ต้องเปลี่ยนยุทธศาสตร์ เอาวัคซีนที่มีทั้งหมดในมือมาทำความตกลงกันไว้ตั้งแต่นายกรัฐมนตรี ศบค.ผู้ว่าราชการจังหวัด ต้องวางเป้าหมายแรกลดเจ็บหนักและเสียชีวิตในกลุ่ม ผู้สูงอายุและกลุ่มเสี่ยงก่อน ซึ่งเรามีกลุ่มนี้ 17.5 ล้านคน ตอนนี้เราฉีดได้ 2.5 ล้านคน อีก 15 ล้านคน เราต้องการฉีดให้จบภายใน 2 เดือนคือ ก.ค.-ส.ค. เราชื่อว่าเรามีวัคซีนเพียงพอด้วยกำลังการผลิตของ astrazeneca และวัคซีนที่ได้รับบริจาคมา หากเราทำได้แบบนี้เราจะลดการเสียชีวิตได้ โดยแทนที่จะเป็นหลักพันคนในเดือน ก.ค. แต่พอเดือน ส.ค. จะเหลือประมาณ 800 คนเดือน ก.ย. จะเหลือประมาณ 600-700 คน หรือวันละประมาณ 20 คน อยู่ในวิสัยที่ระบบสาธารณสุขยังเดินหน้าต่อไปได้

แต่ถ้าเราเดินยุทธศาสตร์เดิมและเราจะมีปัญหามาก วันนี้เราปิดกิจการต่างๆ ปิดแคมป์ แตาจำนวนคนเจ็บจะมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ยิ่งต้องปิดมากขึ้นไปเรื่อยๆ ยิ่งไม่เป็นผลดีเพราะเศรษฐกิจเดินไม่ได้ แต่ถ้าเอาแบบหลังอาจจะไม่จำเป็นต้องปิดมากขึ้นแต่สามารถผ่อนคลายได้ แต่ถ้าต้องการลดคย้สียชีวิตอีกก็ต้องทำเรื่องของเตียงเพิ่ม และค้นหากลุ่มเสี่ยงให้เร็ว 

“เพราะฉะนั้นอยากจะสรุปว่าตอนนี้ผู้บริหาร ท่านนายกฯ ท่านรัฐมนตรี ผู้ว่าราชการจังหวัด เมื่อท่านได้โควตาวัคซีนไป คำถามคือว่า ท่านจะฉีดให้ใครก่อน 2 ทางเลือก หากท่านเลือกทางเลือกแรก หลายจุดมุ่งหมายการคาดการณ์ คือจำนวนผู้ป่วยจะเกินแล้วเรารับไม่ไหว แต่ถ้าทุกคนเห็นตรงกันว่าเอาวัคซีนให้กับคนสูงอายุ คนมีอายุมีโรคประจำตัวก่อน เรื่องนี้ทางวิชาการมีแล้ว ในอังกฤษ อเมริกาก็ทำ ซึ่งแม้ยังมีจำนวนคนติดเชื้อ แต่คนตายไม่เยอะก็จะไม่มีปัญหาเท่าไร ถ้าทำแบบนี้เราจะสามารถแบ่งว่าซีนให้กับแรงงานต่างด้าวที่มีโรคประจำตัวก่อนก็จะช่วยได้ ตอนนี้เรากำลังตั้งโมเดลรายละเอียดคิดว่าฝ่ายวิชาการจะนำเสนอได้” นพ.คำนวณ กล่าว.