เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. ที่สำนักงาน Sittra Law Firm ถนนสาทร น.ส.ช่อฉัตร โตชูวงศ์ อายุ 55 ปี ไฮโซสาวเจ้าของบริษัทรับผลิตจำหน่ายน้ำยางพารารายใหญ่ เดินทางเข้าพบ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เพื่อขอคำปรึกษากรณีถูกอดีตผู้ช่วยเลขาฯ รองประธานสภา นักข่าว หลอกเรียกเงินจำนวนมูลค่า 25 ล้านบาท แลกกับเคลียร์คดีออกหนังสือรับรองให้กับ 3 บริษัท ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก่อนพาไปพบตำรวจและเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ อ้างมาคอยคุ้มครองความปลอดภัย

นายษิทรา กล่าวว่า ผู้เสียหายเป็นนักธุรกิจทำโรงงานผลิตน้ำยางทำถนน เมื่อประมาณปี 2562 ปรากฏว่า ถูกคณะกรรมการพิจารณา เพื่อรับรองมาตรฐานวัสดุน้ำยางพารา กรณีออกหนังสือรับรองให้กับ 3 บริษัทที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเดินทางไปฟ้องร้องต่อศาลปกครอง ซึ่งพบกระบวนการทางศาลได้ใช้ระยะเวลาดำเนินการค่อนข้างนาน ต่อมามีนักข่าวคนหนึ่ง ได้แนะนำให้รู้จักกับผู้ก่อเหตุ ซึ่งแนะนำตัวว่าเป็น เลขานุการรองประธานสภาฯ โดยเห็นว่า ผู้เสียหายเป็นนักธุรกิจที่มีฐานะดี และอ้างว่าสนิทกับนักการเมืองพรรคชื่อดังแห่งหนึ่ง ซึ่งการที่จะช่วยเหลือโดยจะให้ผู้ใหญ่ในพรรคดังกล่าว ช่วยให้ยกเลิกคดีได้โดยไม่ต้องเสียเวลาฟ้องร้อง ผู้เสียหายเห็นว่าจะได้ไม่ต้องเสียเวลา ต่อมาทางฝั่งผู้ก่อเหตุได้เรียกเงินเป็นจำนวน 50 ล้านบาท และเจรจาต่อรองกันจนเหลือ 20 ล้านบาท และมีการจ่ายเป็นเงินสดในเวลาต่อมา

นายษิทรา กล่าวอีกว่า กระทั่งเรื่องเงียบทางผู้เสียหายจึงได้ทวงถาม แต่กลับถูกเรียกเงินอีกจำนวน 10 ล้านบาท แล้วบอกด้วยว่า หากไม่จ่ายเงินก้อนนี้ เงิน 20 ล้านบาทจะสูญทันที จึงมีการต่อรองเหลือ 5 ล้านบาท จนเริ่มรู้สึกว่าถูกหลอก จึงเดินทางไปแจ้งความที่กองปราบฯ ทำให้ผู้ก่อเหตุซึ่งพบว่ามีตำแหน่งเป็น ผู้ช่วยเลขานุการรองประธานสภาฯ ในขณะนั้น ต้องตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง ไปเป็นที่ปรึกษา นายก อบจ.จังหวัดหนึ่งแทน

“ซึ่งทางกองปราบฯ ก็รับทำคดี โดยใช้หลักฐานของผู้ต้องหาในการส่งฟ้องเพียงอย่างเดียว โดยไม่เรียกดูหลักฐานของฝ่ายผู้เสียหาย จึงทำให้อัยการเกิดความสงสัยว่า ส่งมาแบบนี้ได้อย่างไร ซึ่งเรื่องนี้ตนจะเดินทางไปหาผู้บัญชาการสอบสวนกลาง เพื่อให้สืบสวนข้อเท็จจริงของเรื่องดังกล่าว” นายษิทรา ระบุ

นายษิทรา กล่าวต่อว่า จากการตรวจดูประวัติผู้ก่อเหตุพบว่า เคยติดคุกมาก่อน ประมาณ 5-6 ปี ที่เรือนจำคลองเปรม ในข้อหาปล้นทรัพย์ ก็น่าแปลกใจว่าระหว่างที่ติดคุก ผู้ก่อเหตุได้ไปเรียนต่อปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก ที่ประเทศอเมริกาได้อย่างไร ซึ่งมีใบจบจากอเมริกา 3 ใบ ทั้งนี้จึงอยากฝากถามทางรัฐสภาว่า การที่จะรับคนเข้ามา ไม่ได้มีการตรวจสอบประวัติว่าถูกต้องหรือไม่ ประวัติอาชญากรหรือเคยติดคุกมาหรือเปล่า จนมีการนำตำแหน่งหน้าที่ไปแอบอ้างหลอกลวงประชาชน

ขณะที่ น.ส.ช่อฉัตร ผู้เสียหาย กล่าวว่า ช่วงนั้นตนเดินสายร้องเรียนคดีการทุจริต 3 บริษัท ทำให้ถูกตามล่าจากกลุ่มบุคคลมีสีจนอยู่ไม่ได้ ต้องไปนอนโรงแรมต่างๆ ย้ายที่อยู่เรื่อยๆ ต่อมามีบรรณาธิการข่าว ซึ่งเรียกตนว่าแม่ บอกว่าคนนี้จะช่วยแม่ได้ จะได้กลับไปนอนบ้าน และพาไปเจอกับผู้ก่อเหตุที่สนามบินดอนเมือง โดยผู้ก่อเหตุได้แนะนำว่า เป็นเลขานุการของรองประธานสภาฯ และบอกตนว่า การที่ตนไปร้องที่ศาลปกครองแบบนี้ จะใช้เวลา 2-3 ปี อาจไม่จบ ซึ่งช่วงนั้นจะมีการตั้งรัฐบาลปี 62 และผู้ก่อเหตุได้บอกว่า พรรคการเมืองพรรคหนึ่งจะได้ร่วมเป็นฝ่ายรัฐบาล โดยจะใช้อำนาจทางการเมืองช่วยเหลือ และบอกว่าการอนุญาตทั้ง 3 บริษัท มีความผิดชัดเจนว่า ทั้ง 3 บริษัทที่ตั้งเดียวกัน ใช้กรรมการไขว้กัน และผิดหลักเกณฑ์ตัวอนุญาตด้วย โดยรับปากว่าช่วยได้แน่นอนไม่ต้องกังวล ก่อนจะแยกย้ายกันไป

“ต่อมาผู้ก่อเหตุ ได้ให้บรรณาธิการข่าวไม่ทราบสังกัดอีก 2 ท่าน เข้ามาพูดคุยบีบคั้น โดยโทรฯ หาทุกวัน ให้รีบตัดสินใจ หากไม่รีบหาเงินมาให้ตนก็จะยิ่งลำบาก ซึ่งบอกด้วยว่า ทางผู้ก่อเหตุเป็นคนเดียวที่จะช่วยได้ กระทั่งได้นัดให้ตนไปพูดคุยกับทางผู้ก่อเหตุอีกครั้ง และมีการเรียกเงินจำนวน 50 ล้านบาท ต่อมามีการเจรจาเหลือ 20 ล้านบาท จึงขอกลับไปปรึกษาทนายความส่วนตัวว่า การที่ถูกเรียกร้องลักษณะนี้ถูกต้องหรือไม่ ด้านทนายได้บอกว่า อำนาจทางการเมืองอาจจะช่วยได้ ซึ่งเวลานั้น ตำแหน่งหน้าที่การงานของทางผู้ก่อเหตุน่าเชื่อถือ ประกอบกับเชื่อมั่นในบรรณาธิการข่าวทั้ง 2 คน ที่พาตนมาเจอ จึงยอมตกลงจ่ายเงินให้ทางผู้ก่อเหตุ 20 ล้านบาท โดยจ่ายเป็นเงินสดครั้งละ 10 ล้านบาท จำนวน 2 ครั้ง” น.ส.ช่อฉัตร กล่าว

น.ส.ช่อฉัตร กล่าวต่อว่า ซึ่งหลังจากที่ได้เงินไปแล้ว ก็ได้มีการพาตำรวจ และเจ้าหน้าที่ ผอ.ดีเอสไอ คนหนึ่งมาพบกับตน โดยมีการไปนั่งคุยกันแล้วบอกด้วยว่า นี่คือคณะทำงาน และบอกด้วยว่า เป็นผู้หญิงคนเดียวในสภาวะแบบนี้ ถ้าไม่มีใครดูแล จะได้รับอันตราย เพราะฉะนั้นจะตั้งคณะทำงานทั้งดีเอสไอและตำรวจมาคอยดูแลให้.