จากกรณี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ให้สัมภาษณ์สื่อทำนองว่ากำลังเร่งติดตามตัว บุคคลที่ใกล้ชิดกับ นายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ หรือ ตู้ห่าว นักธุรกิจชาวจีน จำนวน 3 คน ได้แก่ น.ส.พัชรินทร์, น.ส.สุชาดา และอดีตนายตำรวจระดับสารวัตร มาสอบปากคำในทุกมิติทุกประเด็น หลังจาก นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง นำหลักฐานมายื่นเพิ่มเติม ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. ที่สโมสรตำรวจ ถนนวิภาวดีรังสิต กทม. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เปิดเผยว่า ขณะนี้การสืบสวนดำเนินไปแล้ว 90% ส่วนการสอบสวนดำเนินการไปแล้ว 50% ดังนั้นต้องทำให้การสอบสวนเดินหน้าใกล้เคียงกับการสืบสวน แต่การจะนำเอาหลักฐานต่าง ๆ เข้าสู่สำนวนนั้น ก็เพื่อทำให้ผู้ต้องหาได้รับโทษในชั้นศาล ยืนยันว่า เราทำสำนวนอย่างละเอียดรอบคอบ ทำทุกวัน และคาดว่าการสอบสวนจะเสร็จสิ้นได้ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2566

ตอนนี้เหลือแค่ต้องติดตามตัว นางพัชรินทร์และพวกรวม 3 ราย มาสอบปากคำให้ได้ โดยเฉพาะนางพัชรินทร์ ที่มีความใกล้ชิดกับนายตู้ห่าวมากที่สุด อีกทั้งยังต้องรอผลการตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์ เรื่องหลักฐานบนเครื่องบินว่า มีการใช้สารเสพติดจริงหรือไม่ ตามที่สุนัข K9 ได้มีขั้นตอนตรวจเจอ ซึ่งหากได้รับผลการตรวจสอบมาแล้ว ก็จะนำไปสู่การนำพยานหลักฐานเข้าสู่สำนวน

โดยหากผลออกมาว่าเป็นสารเสพติด หรือเรื่องลายนิ้วมือ ดีเอ็นเอ ก็จะสามารถบ่งชี้ได้ว่า ใครนั่งอยู่บนเครื่องบินลำดังกล่าว และแม้จะนำไปสู่การแจ้งข้อหาเสพยาเสพติดไม่ได้โดยตรง เพราะไม่รู้ได้ว่าใครเสพ แต่พยานหลักฐานจะบ่งชี้ได้ บุคคลนั้น ๆ มีความเชื่อมโยงว่า มีพฤติกรรมเกี่ยวกับยาเสพติดได้

สำหรับประเด็นที่มีสถานศึกษารับคนจีนเป็นนักเรียน เพื่อเอื้อการทำวีซ่านักเรียนนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุว่า คาดว่าจะตรวจสอบครบหมดในวันพรุ่งนี้ หรือไม่ก็มะรืนนี้ แต่กำลังไล่ตรวจสอบอยู่ โดยในส่วนของการดำเนินคดี ถ้าเราได้ดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ก็จะต้องดำเนินคดีกับสถานศึกษาด้วย ส่วนระดับผู้บริหารในสถาบันการศึกษาต่างๆ ที่ร่วมทำเอ็มโอยู (MOU) กับกลุ่มทุนจีนเหล่านี้ หากพยานหลักฐานบ่งชี้ไปถึงว่ามีการร่วมมือกัน หรือผู้บริหารสถานศึกษาของไทยรู้อยู่แล้วว่า คนจีนเหล่านี้เข้ามาคงไม่ได้เรียนแน่นอน ตรงนี้เราดำเนินคดีหมด ถือว่ามีความผิดด้วย ถือว่าเป็นผู้สมคบและร่วมกันกระทำความผิด

นอกจากนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังระบุถึงกรณีกลุ่มทุนจีนไล่กว้านซื้อหมู่บ้านหรูเกือบยกโครงการ ว่า ต้องยอมรับว่าขบวนการการซื้อรถ ซื้อบ้านหรูตามโครงการนั้น พวกเขาซื้อยกโหล ซื้อรถทีเป็นโหล ดังนั้น เงินที่นำเข้ามาซื้อ เป็นเงินผิดกฎหมาย นำเข้ามาแล้วก็ก่อให้เกิดผลเสียกับประเทศไทย อย่างไรเรื่องนี้จะอยู่ในสำนวนที่ต้องสอบสวนแน่นอน

ส่วนกรณีของ “นายโทนี่” หรือ นายเฉินเจ้าฮุ้ย เจ้าของร้าน Spaceplus Bangkok ที่ตอนนี้ได้รับการประกันตัวไปแล้วนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า หลังจากนี้จะติดตามเรื่องการได้มาของวีซ่าของ นายโทนี่ ว่า ได้มาอย่างไร คาดว่าจะมีการดำเนินคดีแจ้งข้อหาเพิ่ม และถ้านายโทนี่ถูกแจ้งข้อหาเพิ่มจากความผิดฐานเดิม ถึงตอนนั้นคงจะไม่ได้รับการประกันตัว เพราะอัตราโทษจะสูงขึ้น เนื่องจากข้อหาการเป็นนอมินีตอนนี้ก็มีอัตราโทษสูง 3 ปีแล้ว

กรณีของ นายหลินหลง ที่แต่งกายเลียนแบบทหารยศพันเอกนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า นายหลินหลง ยังหนีอยู่ในประเทศไทย ส่วนพฤติกรรมที่ทำนั้น นายหลินหลงกระทำคล้าย นายโทนี่ นายตู้ห่าว โดยนายหลินหลงรายนี้ มีการแต่งเครื่องแบบพันเอกแล้วถ่ายรูปไปหลอกล่อคนจีน เพื่อที่เวลาจะเข้าไทยหรือหอบเงินผิดกฎหมายมา คนจีนเหล่านี้ต้องมาหานายหลินหลงก่อน เพราะนายหลินหลงวางตัวเป็นเจ้าพ่อ ทำให้คนจีนมองว่ายิ่งใหญ่จริง มีเส้นสาย ใช้เงินซื้อตำแหน่งได้ พอคนจีนหลงเชื่อ ตัดสินใจเดินทางมา นายหลินหลงก็จะเก็บรายหัว และจะบอกวิธีการเอาวีซ่าว่าจะสามารถอยู่ต่อในประเทศไทยอย่างไร ก็คือการใช้ชื่อไปเข้าโรงเรียนเพื่อขอวีซ่าเป็นนักเรียน อย่างไรก็ตาม การติดตามตัวนายหลินหลง เจ้าหน้าที่ขอเวลาอีกหนึ่งสัปดาห์ คาดว่าได้ตัวมาแน่

นอกจากนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังกล่าวว่า การดำเนินคดีที่สำคัญคือการดำเนินคดีกับเหล่าเจ้าหน้าที่ ตม. เจ้าหน้าที่รัฐ ผู้บริหารสถาบันศึกษา เพราะกลุ่มคนเหล่านี้ล้วนนำพาเอาคนจีนเข้าประเทศไทยและรู้เห็นการออกวีซ่านักเรียนให้กลุ่มคนจีนเหล่านี้อยู่ในราชอาณาจักรไทยในระยะยาว จึงถึงเวลากวาดบ้านแล้ว มิเช่นนั้น จะเป็นภาระกับสถานีโรงพักในพื้นที่ ทั้งๆ ที่ด่านหน้าสำคัญ ควรเป็นเจ้าหน้าที่ ตม. สุดท้ายแล้วมันไม่ได้จบที่คนจีน แต่จบที่เจ้าหน้าที่รัฐไทย ที่คอยให้ความช่วยเหลือทุนจีนสีเทาเหล่านี้ต่างหาก.