สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. ว่า ข้อมูลจากบริษัทน้ำมันแห่งชาติเกาหลี (เคเอ็นโอซี) ระบุว่า สถานีบริการน้ำมันเกือบ 100 แห่งในเกาหลีใต้ กำลังประสบกับภาวะขาดแคลนเชื้อเพลิงเพื่อให้บริการแก่ลูกค้า โดยประมาณ 60% ของพื้นที่ได้รับผลกระทบ คือกรุงโซลและจังหวัดคย็องกี ซึ่งเป็นบริเวณที่มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่น

สถานการณ์ดังกล่าว ถือเป็นสถิติที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก เนื่องจากรายงานของกระทรวงอุตสาหกรรมเกาหลีใต้ ซึ่งระบุเมื่อวันที่ 28 พ.ย. ที่ผ่านมา ระบุว่า มีสถานีบริการเชื้อเพลิงในประเทศอย่างน้อย 21 แห่งเท่านั้น ที่ ขาดแคลนเชื้อเพลิงให้บริการแก่ลูกค้า
Truck drivers in South Korea are calling on the government for stronger minimum pay protections, as the impact of their strikes further test the country’s record inflation https://t.co/pP3rwOI33u pic.twitter.com/vJzERlPE3D
— Reuters (@Reuters) December 5, 2022
ทั้งนี้ เกาหลีใต้กำลังเผชิญกับการผละงานประท้วงของกลุ่มคนขับรถบรรทุกในอุตสาหกรรมซีเมนต์ ซึ่งยืดเยื้อมานานตั้งแต่ปลายเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา เพื่อเรียกร้องการเพิ่มค่าตอบแทนให้สอดคล้องกับภาวะเงินเฟ้อ และการยกระดับสวัสดิการพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง ถือเป็นการผละงานประท้วงครั้งที่สอง ภายในระยะเวลาไม่ถึง 6 เดือน ของลูกจ้างในสายอาชีพนี้
ยิ่งไปกว่านั้น สมาพันธ์สหภาพแรงงานเกาหลีใต้ (เคซีทียู) ประกาศเตรียมผละงานประท้วง ร่วมกับสหภาพคนขับรถบรรทุกด้วย ท่ามกลางการประเมินว่า ความตึงเครียดรอบนี้ สร้างความเสียหายให้แก่เศรษฐกิจของเกาหลีใต้ วันละไม่ต่ำกว่า 300,000 ล้านวอน (เกือบ 8,000 ล้านบาท) และเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 4 ของทวีปเอเชีย จะเผชิญกับภาวะถดถอยในปีหน้า
แม้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของเกาหลีใต้ ที่รัฐบาลใช้คำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อยุติการผละงานประท้วง โดยประธานาธิบดียุน ซอก-ยอล ผู้นำเกาหลีใต้ “ยื่นคำขาด” ในเรื่องนี้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และประกาศว่า ผู้ที่ฝ่าฝืนต้องรับโทษตามกฎหมาย ซึ่งรวมถึงการถูกเพิกถอนใบอนุญาตขับรถบรรทุก การรับโทษจำคุกนานสูงสุด 3 ปี หรือปรับเป็นเงินสูงสุด 30 ล้านวอน (ราว 800,000 ล้านบาท)
อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวกลับยังแทบไม่ได้รับการตอบสนอง จากสหภาพแรงงานคนขับรถบรรทุก ซึ่งยังคงออกแถลงการณ์ประณามว่า รัฐบาลละเมิดกฎหมายแรงงานระหว่างประเทศ และชัดเจนว่า ภาครัฐไม่ต้องการเจรจา.
เครดิตภาพ : REUTERS