เมื่อวันที่ 19 ส.ค. ที่บก.ปอท. ลูกสาวอาม่าฮวย ศรีวิรัตน์ พร้อมด้วย นายกฤษฎา อินทามระ ทนายความ เดินทาง เข้าพบพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) เพื่อขอคำแนะนำปรึกษาข้อกฎหมาย เพื่อดำเนินการเอาผิดสื่อมวลชนหลายสำนัก ที่นำเสนอข่าวกรณีที่เมื่อวันที่ 17 ส.ค.ที่ผ่านมา ศาลมีคำพิพากษาในคดีที่ ลูกสาวอาม่าฮวย ถูกฟ้องข้อหาลักทรัพย์จากบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ ที่มีจำนวนความเสียหายเพียง 24.7 ล้านบาท แต่สื่อมวลชนกลับนำไปเสนอข่าวว่าศาลได้ลงโทษจำคุกนางมาวดี ในสำนวนลักทรัพย์จำนวนกว่า 250 ล้านบาท และศาลลงโทษจำคุก 12 ปีโดยไม่รอลงอาญา ซึ่งไม่เป็นความจริงในคดีนี้ ทำให้เกิดความเสียหาย

นายกฤษฎา กล่าวว่า สืบเนื่องจากวันที่ 17 ส.ค.ที่ผ่านมา ศาลได้มีคำพิพากษา และทางสื่อมวลชนได้นำไปลงข่าวในทำนองที่ว่า ทางลูกสาวอาม่าฮวย ลักทรัพย์ไป 250 ล้านบาท และศาลได้ตัดสินจำคุก 12 ปี โดยไม่รอลงอาญา ทั้งนี้ในการนำเสนอไม่ตรงกับความเป็นจริง โดยคดีนี้เป็นการลักทรัพย์จากธนาคารแห่งหนึ่ง ไม่ถึง 250 ล้านบาท แต่เป็นเพียง 24 ล้านบาทเท่านั้น

อีกทั้งคดีนี้ทางนางฮวย ศรีวิรัตน์ อายุ 82 ปีใช้สิทธิในการฟ้องร้องเอง ไม่ได้ไปแจ้งความและให้อัยการเป็นโจทก์ ทำให้กระบวนการในการสืบพยานและตัดสินนั้นรวดเร็วกว่า ส่วนคดีที่เป็นกรณีพิพาทจำนวนเงิน 250 ล้านบาท มาจากอีกธนาคารหนึ่ง ซึ่งคดีนั้นพนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ขั้นตอนยังอยู่ระหว่างการสืบพยานจำเลย เป็นเงินคนละส่วนในคดีที่ศาลพิพากษาไป ซึ่งจะมีการสืบพยานต้นเดือนธันวาคม

อย่างไรก็ตามการที่สื่อมวลชนนำเสนอข่าวในลักษณะอย่างนี้ ย่อมทำให้ผู้อ่านนั้นเกิดความเข้าใจผิดคิดว่าลูกคนนี้คือนางมาวดี ลักทรัพย์ไป 250 ล้านบาท โดยคดีนั้นยังอยู่ในขั้นตอนของการสืบพยานจำเลยและคดียังไม่ถึงที่สุด ซึ่งการที่ข่าวออกไปนั้นไม่เป็นความจริง ทำให้ต้องออกมาชี้แจง ต่อสื่อมวลชนให้ช่วยแก้ข่าว อย่างไรก็ดีน้อมรับคำตัดสินของศาลและจะทำการยื่นอุทธรณ์ต่อไป และมั่นใจในพยานหลักฐานที่มี

ทนายความ กล่าวว่า ในส่วนคดีลักทรัพย์ 24 ล้านบาททางโจทก์ ได้ยื่นหลักฐานต่อศาลเป็นเอกสารการโอนเงินจำนวน 6 ใบ ซึ่งเป็นลายมือของนางฮวยถอนเอง ซึ่งในส่วนนี้ ศาลตัดสินอย่างไรก็น้อมรับในคำตัดสิน และจะใช้สิทธิยื่นอุทธรณ์คดีในประเด็นนี้ต่อ โดยเราก็มีหลักฐานเพียงพอที่จะให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ ในส่วนคดี 250 ล้าน ทางเราก็มีพยานหลักฐานในการสู้คดี ซึ่งคดีนั้นเดิมใช้หลักทรัพย์ในการประกันตัว 5 ล้าน แต่ในช่วงสถานการณ์โควิด ทางนางมาวดีก็ได้ไปขอคืนหลักทรัพย์กลับมา 4 ล้าน ซึ่งศาลก็ได้เมตตาอนุญาตให้คืนหลักทรัพย์ในการประกันตัวได้

อย่างไรก็ตามในวันนี้เราได้มีการนำหลักฐาน ซึ่งเป็นการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนแต่ละสำนัก ทั้งในส่วนของสื่อออนไลน์และสื่อทีวีต่างๆ มามอบให้กับทางพนักงานสอบสวน เพื่อให้ช่วยตรวจสอบว่าการกระทำดังกล่าวนั้นเข้าข่ายความผิดใดบ้าง ทั้งนี้ขอยืนยันว่าการเดินทางมาวันนี้ไม่ได้มาหาเรื่องกับสื่อมวลชน เพราะสื่อมวลชนอาจจะไปรับข้อมูลข่าวสารที่ผิดมาจากใครก็ไม่รู้ และไม่ได้ตรวจสอบ จึงอยากขอสื่อมวลชน ว่าให้ช่วยลงข้อความใหม่ ให้ถูกต้องตรงกับคดี และตรงกับทุนทรัพย์ที่เสียหาย ซึ่งหากสื่อมวลชนไปลงข้อความจนเป็นที่พึงพอใจ ทางเราก็จะไม่ดำเนินคดีเพราะถือว่าเป็นการเข้าใจผิด

ฟ้ามีตา!ศาลสั่งจำคุก12ปี ลูกสาวแอบถอนเงินแม่จากบัญชี253ล้าน ไม่รอลงอาญา…

ด้านลูกสาวอาม่าฮวย กล่าวว่า ส่วนตัวไม่มีอะไรที่จะพูดกับสื่อ แต่จะบอกว่าจริงๆ แล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องภายในครอบครัวคนนอกไม่ได้รู้กับเราว่าครอบครัวเรานั้นเป็นอย่างไรบ้าง ผู้รับมอบอำนาจที่มาฟ้องในคดีนี้ก็เป็นคนที่เคยทำงานร่วมกันมา ส่วนตัวก็ไม่ทราบว่าเขามีอะไรถึงได้มาฟ้องเรา ก็พูดได้แค่ว่าเราคนในครอบครัวไม่มีใครมารู้หรอกว่าครอบครัวเรานั้นเป็นอย่างไรบ้าง ทั้งนี้ครอบครัวเรามีกันเพียงสองคนพี่น้อง ซึ่งเรื่องนี้หากตกลงกันได้ทุกอย่างมันก็จะจบ แต่นี่ไม่ตกลงไม่คุยกันเลยอยู่ดีๆ ก็มาฟ้องแบบนี้มันไม่ถูกต้อง  

เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ได้รับเรื่องไว้ ก่อนส่งให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป มีรายงานว่าสำหรับคดีหมายเลขดำที่ อ.1668/2563 คดีหมายเลขแดงที่ อ.924/2564 ศาลอาญาพระโขนงลงโทษจำคุก 12 ปี เป็นคดีนี้ นางฮวย ศรีวิรัตน์ โดย น.ส.มินตรา ศรีวิรัตน์ ผู้รับมอบอำนาจ เป็นโจทก์ฟ้องลูกสาวอาม่าฮวย จำเลยในข้อหา ลักเงินออกจากบัญชีโจทก์รวม 6 ครั้งเป็นเงิน 24.7 ล้านบาทนั้น ช่วงระหว่าง ปี 2557-2558 ในส่วนคดีเงิน 253 ล้านบาทนั้น คือคดีหมายเลขดำที่ อ.3228/2562 ที่พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญาพระโขนง 3 และ นางฮวย ศรีวิรัตน์ ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ลูกสาวอาม่าฮวย และเจ้าหน้าที่ธนาคารกสิกรไทยจำกัด (มหาชน) อีก 4 คน เป็นจำเลย ฐานยักยอกทรัพย์มูลค่า 253 ล้านบาทนั้น ขณะนี้ศาลอาญาพระโขนง ซึ่งคดีนี้ยังอยู่ในระหว่างพิจารณาสืบพยานจำเลยในเดือน ธ.ค.2564