กรณีนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม แถลงกรณีเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ร่วมกับตำรวจกองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ หรือ 191 ปล่อยตัวชาวจีน 11 คน แลกกับการไม่จับกุมดำเนินคดี ต่อมามีเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ กองบัญชาการตำรวจนครบาลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (191) นำหมายค้นของศาลอาญากรุงเทพใต้ เข้าตรวจค้นบ้านเช่า สำหรับเป็นที่พักส่วนตัวของกงสุลใหญ่นาอูรู ประจำประเทศไทยและครอบครัว บริเวณถนนนราธิวาสราชนครินทร์ แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพฯ โดยมีการตรวจค้นและยึดทรัพย์สิน ส่งพนักงานสอบสวน สน.ทุ่งมหาเมฆ ดำเนินคดี แต่ต่อมาปรากฏในโซเชียลพบว่า ของกลางวันตรวจยึดมีมากกว่าที่ส่งดำเนินคดี จนทาง ผู้การ 191 ต้องออกมาชี้แจง พร้อมตั้งกรรมการสอบเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องตามที่ได้เสนอข่าวมาอย่างต่อเนื่องแล้วนั้น

ผู้การ 191 สั่งตั้ง กก. สอบ 12 ตร. ปม ‘อัจฉริยะ’ ร้องเอี่ยวเรียกรับสินบนแก๊งมังกร

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ตรวจสอบเรื่องดังกล่าวเบื้องต้นพบว่า รองกงสุลใหญ่ ปฏิบัติราชการแทนกงสุลใหญ่นาอูรู ประจำประเทศไทย ได้มีหนังสือฉบับลงวันที่ 9 ธันวาคม 2565 ถึงอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ขอความอนุเคราะห์ให้ช่วยเหลือและตรวจสอบกรณีสถานกงสุลพบว่ากงสุลใหญ่ฯ มีการเช่าบ้านพักส่วนตัวนอกพื้นที่ของที่ทำการกงสุลและมีการดำเนินการผิดกฎหลายประการ มีการให้คนเอเชียน่าเชื่อว่าเป็นคนสัญชาติจีน เข้ามาใช้สถานที่ดังกล่าวนอกเหนือจากการเป็นที่พักอาศัยของกงสุลใหญ่ และมีการเข้าออกที่พักตลอดทั้งวันจนผิดสังเกตและเป็นการรบกวนเพื่อนบ้าน ซึ่งมีเจ้าหน้าที่สถานทูตของประเทศอื่นๆ ที่พักอาศัยใกล้เคียงกัน และอาจเป็นเรื่องกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและความมั่นคงระหว่างประเทศนาอูรูและประเทศไทย

จากนั้นอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้มีข้อสั่งการ เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2565 มอบหมายกองปฏิบัติการคดีพิเศษภาค รับผิดชอบดำเนินการ และต่อมาได้มีหนังสือ ฉบับที่ 2 ลงวันที่ 21 ธันวาคม 2565 จากสถานกงสุลใหญ่นาอูรูประจำประเทศไทย แจ้งข้อมูลและพฤติการณ์เพิ่มเติม โดยมีการแนบภาพถ่ายของรถต้องสงสัยที่เข้า-ออก รวมทั้งมีรถที่ใช้ป้ายทะเบียนพื้นสีฟ้าตัวอักษรสีขาว ซึ่งเป็นป้ายทะเบียนรถสำหรับเจ้าหน้าที่สถานทูต เข้า-ออก บ้านกงสุลใหญ่ดังกล่าว แต่ไม่ใช่รถของสถานกงสุลใหญ่แต่อย่างใด รวมทั้งข้อมูลสำคัญอื่นๆ เกรงว่าจะเป็นเรื่องที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จึงขอความร่วมมือกรมสอบสวนคดีพิเศษมาอีกครั้ง จนปรากฏข้อเท็จจริงว่าเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2565 เจ้าหน้าที่กองปฏิบัติการคดีพิเศษภาค ได้สนธิกำลังเข้าตรวจค้นร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ ซึ่งได้สั่งการให้กองปฏิบัติการคดีพิเศษภาครายงานข้อเท็จจริงในการร่วมปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวมาให้ทราบโดยด่วน เพื่อประกอบการพิจารณาสั่งการตามกฎหมาย

กรมสอบสวนคดีพิเศษ ขอเรียนว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามคำร้องขอของสถานกงสุลใหญ่นาอูรู ประจำประเทศไทย ทั้งนี้ ผลการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่เป็นประการใด จะแจ้งให้สาธารณชนทราบต่อไป.