เมื่อวันที่ 3 ก.ค. ร.ต.อ.ชัยณรงค์ มาเมือง รอง สว.(สอบสวน) สน.ลาดพร้าว รับแจ้งเหตุรถเมล์เสียหลักชนเสาไฟฟ้าหักหลายต้น และยังโค่นลงมาทับรถพังเสียหายหลายคัน และมีผู้บาดเจ็บ บริเวณถนนนวมินทร์ ช่วงโค้งสนามกีฬาคลองจั่น แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ รุดไปตรวจสอบพร้อมเจ้าหน้าที่การไฟฟ้านครหลวงและอาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญู 

ที่เกิดเหตุอยู่ ระหว่างซอยนวมินทร์ 10-12 พบรถโดยสารประจำทางร่วมบริการ สาย 8 สีชมพู เลขข้างรถ 36-106 ทะเบียน 10-8980 กรุงเทพมหานคร วิ่งระหว่าง แฮปปี้แลนด์-สะพานพุทธ เสียหลักปีนขึ้นฟุตปาธ ชนเสาไฟฟ้าและต้นมะฮอกกานีที่อยู่ใกล้กันจนหักโค่นล้มทับยพังยับเยิน ภายในรถพบ นายไกรสิทธิ์ บุญล้น โชเฟอร์ได้รับบาดเจ็บหน้าอกจากแรงกระแทก และน.ส.วารุณี แตงโกมน กระเป๋ารถเมล์ บาดเจ็บตามร่างกายเล็กน้อย ถูกนำส่ง รพ.ลาดพร้าว

 

จากการตรวจสอบบริเวณที่เกิดเหตุ พบเสาไฟฟ้าที่ถูกชนหัก ยังเหนี่ยวรั้งเสาไฟข้างเคียงหักโค่นอีก 7 ต้น รวมเป็น 8 ต้น และทับรถอีก 3 คันที่จอดอยู่ลานจอดรถสนามกีฬาคลองจั่น ริมถนนใกล้ปากซอยนวมินทร์ 12 ประกอบด้วย รถเก๋งฮอนด้า ซีวิค สีแดง ทะเบียน 4 ณ -1639 กรุงเทพมหานคร รถกระบะโตโยต้า วีโก้ สีบรอนซ์ทอง ทะเบียน ฌต 7380 กรุงเทพมหานคร รถทั้ง 2 คันเป็นของนายพานิชย์ วงษ์บรรเทา อายุ 52 ปี เจ้าของร้านจันทราคาราโอเกะ ใกล้เคียงที่เกิดเหตุ และรถเก๋งซีตรอง ซีเอ็กซ์ 20 สีน้ำเงิน ทะเบียน วท 2422 กรุงเทพมหานคร สภาพเก่าจอดทิ้งไว้นานแล้ว นอกจากนี้เสาไฟยังล้มทับหลังคาบ้านเรือนประชาชนอีก 1 หลัง

จากการสอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุรถเมล์คันดังกล่าวได้วิ่งออกจากอู่ที่แฮปปี้แลนด์เพื่อไปรับผู้โดยสารที่ด้านหน้าห้างเดอะมอลล์​ บางกะปิ ในรถจึงยังไม่มีผู้โดยสาร เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุรถเกิดเสียหลักพุ่งเข้าชนต้นไม้และเสาไฟฟ้า ทำให้เสาไฟฟ้าหักล้มระเนนระนาด ส่วนสาเหตุต้องรอสอบปากคำผู้ขับขี่อย่างละเอียดอีกครั้ง

ด้าน นายการัณย์ ติดรักษ์ ช่างเทคนิคสายอากาศ 5 การไฟฟ้านครหลวงกล่าวว่า ภายหลังเกิดเหตุเสาไฟฟ้า หัก 8 ต้น เสียหายประมาณ 4-5 แสนบาท ทำให้ไฟฟ้าดับโดยเฉพาะในซอยนวมินทร์ 12 และบริเวณใกล้เคียง ทราบว่ารถเมล์มีประกันของวิริยะประกันภัยมาดูที่เกิดเหตุแล้ว ทั้งนี้ การไฟฟ้านครหลวงจะรีบดำเนินการเคลื่อนย้ายและติดตั้งเสาไฟฟ้าใหม่ให้เสร็จภายในค่ำคืนนี้ 


เบื้องต้น ตำรวจจะรอสอบปากคำ นายไกรสิทธิ์ โชเฟอร์ที่ได้รับบาดเจ็บอย่างละเอียดอีกครั้ง ก่อน​แจ้งข้อกล่าวหาขับรถประมาททำให้ทรัพย์สินของทางราชการและประชาชนเสียหายต่อไป