“มองไกล เห็นใกล้” หลักใหญ่ใจความ คือ การไว้ทรงผมของนักเรียนสถานศึกษาในสังกัด ศธ. และในกำกับดูแล ศธ. จะไว้ “ผมสั้น” หรือ “ผมยาว” ก็ได้ แต่ห้ามดัด-ย้อมสีผม และไว้หนวดหรือเครา รวมถึงสถานศึกษาสามารถกำหนดระเบียบของตัวเองได้ โดยได้รับความยินยอมจากทุกภาคร่วมและต้องประกาศระเบียบให้ชัดเจน

“ยุติ” ข้อถกเถียงทรงผมนักเรียนที่ลากยาว ปิดฉากความเห็นต่าง ลบภาพความเป็น “ไม้เบื่อไม้เมา” ระหว่างครูปกครองกับนักเรียน แต่กระนั้นเอง…มิวายถูกตั้งคำถาม แท้ที่จริงแล้ว “เสรีทรงผมจริงหรือ???”

เหตุที่แม้จะดูว่าเป็นการเปิดกว้าง แต่ยังคงต้องดูที่ความเหมาะสม โดยให้โรงเรียนออกกฎทรงผมเอง

บ้างก็ว่าเป็นเรื่องน่ายินดีที่ ศธ. ปลดล็อก บ้างก็ว่าหากให้แต่ละโรงเรียนเป็นผู้กำหนดจะเป็นการแก้ปัญหาตรงจุดหรือไม่ บ้างก็ว่าเป็นการผลักภาระไปให้สถานศึกษา

เพราะแทนที่ ศธ. จะช่วยปกป้องคุ้มครองสิทธิในตัวเด็ก แต่กลับเปิดช่องให้โรงเรียนออกกฎได้ตามใจชอบ….มิต่างอะไรกับการโยนติ้วทิ้งทุ่น หนำซ้ำวันดีคืนดี บางโรงเรียนเกิดบ้าจี้ ไม่ทำตามจะเป็นเช่นใด ทางที่ดี ศธ. ควรออกระเบียบให้ชัดทรงไหนทำได้-ทรงไหนทำไม่ได้

ท่ามกลางกระแสที่ส่อตีกลับ ทำให้ “เสมา 1” ตรีนุช เทียนทอง ต้องออกโรงแถลงไข หาใช่เป็นการโยนความรับผิดชอบไปให้สถานศึกษา แต่เป็นการกระจายอำนาจให้ไปยืดหยุ่นออกกฎระเบียบทรงผมได้ตามเหมาะสม ที่สำคัญอยากให้เรื่องทรงผมที่มีความกังวลมานานปลดล็อก

ส่วนข้อกังวลว่า สถานศึกษาออกระเบียบทรงผมนักเรียนเอง อาจนำไปสู่การอนุรักษนิยมหรือไม่ เรื่องนี้ไม่มีอะไรตายตัว และไม่อยากให้เรื่องทรงผมนำมาตีกรอบที่จะหยุดพัฒนาผู้เรียน อีกทั้งไม่เห็นด้วยกับการ “กล้อนผม” และลงโทษเด็กรุนแรงจากระเบียบทรงผม

ส่วนตัว “นายอัคคี” ได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกสบายใจ ที่ทางรัฐมนตรีพยายามตั้งใจจะปลดล็อก “เสรีทรงผม” ในโรงเรียน ไหนๆ ก็มาถึงขั้นนี้ ฝากไปยังน้องๆ หนูๆ อิสระ (ทรงผม) ได้ แต่อย่าสุดโต่งเกินไป เอาแค่พองาม…!!!!

จะว่าไปนะครับ บ้านเราเสียเวลากับเรื่องทรงผมมากเกินไปแล้ว เอาเวลาถกเถียงเรื่องทรงผมไปพัฒนาหลักสูตรการศึกษาให้เด็กไทยทัดเทียมต่างชาติจะดีกว่า จริงไหมครับท่านรัฐมนตรีตรีนุช!!!!

นายอัคคี