และแล้ว ชื่อของ “กกกอก เดอะซีรีส์” ก็กลับมา หลังเมื่อวันที่ 26 ส.ค. อัยการจังหวัดมุกดาหาร ยื่นฟ้อง “ไชย์พล วิภา” หรือที่ชาวเน็ตรู้จักกับดีในนาม “ลุงพล” เพิ่มฐานเติม “เจตนาฆ่า” น้องชมพู่ จนทำให้เรื่องราวที่เกิดขึ้น กลับมาเป็นที่สนใจของสังคมอีกครั้ง วันนี้ “เดลินิวส์” มีสรุปดราม่าที่เกิดขึ้นมาฝากกัน

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2563 พบศพ “น้องชมพู่” บริเวณเขาภูเหล็กไฟ บ้านกกกอก ตำบลกกตูม อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร หลังหายออกจากบ้านเมื่อวันที่ 11 พ.ค. 2563 โดยมีตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง ช่วยกันค้นหา กระทั่งยายตุน อายุ 70 ปี ชาวจังหวัดสกลนคร ที่เข้าไปหาของป่าบนเทือกเขาภูพานน้อย เขตอุทยานแห่งชาติภูผายล 

หลังจากนั้น “คดีน้องชมพู่” ก็กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง จนทำให้ชื่อของสองสามีภรรยา “ไชย์พล วิภา” และ “สมพร หลาบโพธิ์” หรือ “ลุงพล-ป้าแต๋น” กลายเป็นคนดัง โดย ณ ขณะนั้นเอง “อุ๊บ วิริยะ” นักปั้นคนดัง ร่วมด้วย “หมอปลา” ( หมอปลาช่วยด้วย) และสื่อมวลชน รวมไปถึงยูทูบเบอร์เข้ามาตามติดชีวิตสองสามีภรรยา จนมีแฟนคลับไปทั่วประเทศ คลิปต่างๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับ “ลุงพล” ก็สามารถสร้างรายได้ให้กับยูทูบเบอร์ช่องต่างๆ เป็นจำนวนมาก

-‘ลุงพล’ดังแล้ว’อุ๊บ วิริยะ’ พาเล่นมิวสิคฟันค่าตัวเป็นแสน

แต่ภายหลัง ในช่วงต้นปี 2564 ที่ผ่านมา กลับเกิดความขัดแย้งระหว่าง “ลุงพล” กับ “อุ๊บ วิริยะ” นักปั้นคนดัง ที่ได้ออกมาเปิดเผยถึงกรณีที่ ลุงพล ได้นำรูปไปแอบอ้างเปิดบัญชีรับบริจาคโดยไม่ขออนุญาต เพื่อขอรับเงินสร้างศาลาวัดภูหลวง จ.มุกดาหาร โดยนักปั้นคนดังกำลังปรึกษาทนายเพื่อดำเนินการตามกฎหมายในการกระทำที่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ซึ่งตนเองเห็นมานานแล้ว แต่ก่อนหน้านี้เห็นว่าเป็นคนกันเองที่มีสัมพันธ์ที่ดีต่อกันจึงไม่ได้ใส่ใจ แต่หลังจากที่มีความขัดแย้งกัน ตนเองจึงคิดว่าจะต้องจัดการเรื่องนี้เพื่อป้องกันปัญหาไม่ให้เกิดขึ้นอีกในอนาคต เพราะตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวกับเงินรับบริจาค

ส่วนทางด้านความสัมพันธ์ของ “หมอปลา” เอง ก็ถูกกล่าวหาว่าแอบไปติดเครื่องดักฟังที่รถลุงพล แล้วลุงให้สัมภาษณ์ว่าจะเตะคนเอามาติด ซึ่ง “หมอปลา” ได้ออกมาตอบโต้เรื่องดังกล่าวโดยการปรึกษาทีมทนายความเพื่อเดินหน้าตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าเครื่องดักฟังดังกล่าวอยู่ในรถได้อย่างไร เพราะตนเองก็ไม่สบายใจที่ถูกกล่าวหาเช่นนี้ จึงขอแสดงความบริสุทธิ์ใจด้วยการเข้าแจ้งความเอง เพราะทาง “ลุงพล” ไม่ยอมไปแจ้งความ ส่วนเรื่องเงินบริจาคที่เคยท้วงติงให้หยุดรับเงินบริจาค เพราะอาจถูกครหาได้นั้น จากการตรวจสอบพบว่าเงินในบัญชีจำนวน 8 แสนบาท ก็มีเข้ามาจริง ๆ แต่จากการตรวจสอบกับทาง พระอาจารย์สมบัติ อภิสัมโธ ประธานสำนักสงฆ์ภูหลวง ก็ระบุว่ายังไม่ได้รับเงินจำนวนดังกล่าวแต่อย่างใด และทางวัดก็จะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับเงินดังกล่าวอีกด้วย

-ขอลาขาด!’ลุงพล-หมอปลา’ ลั่นไม่ยุ่งคดี’น้องชมพู่’อีกแล้ว

โดยภายหลังได้มีสื่อมวลชนจำนวนมาก ได้เข้าไปขอสัมภาษณ์แต่ทาง “ลุงพล” ปฏิเสธ พร้อมทั้งยังแจ้งว่า จะให้สัมภาษณ์เฉพาะยูทูบเบอร์ที่มาปักหลักภายในบ้านกกกอกเท่านั้น

แต่ดราม่าของ “ลุงพล” ยังไม่จบเพียงเท่านั้น เมื่อ “รัชนี โลกายุทธ์” ผู้บริหารผลิตภัณฑ์ชาสมุนไพรมาดี้พีช พร้อมด้วย “ปิ๋ม ซีโฟร์” ซึ่งเคยว่าจ้างให้ลุงพลเป็นพรีเซ็นเตอร์ได้เข้าเจรจากรณีที่ “ลุงพล” ไปรับพรีเซ็นเตอร์กาแฟยี่ห้อหนึ่ง ซึ่งมีสรรพคุณใกล้เคียงกับมาดี้พีช ถือเป็นการละเมิดสัญญาในการเป็นพรีเซ็นเตอร์ โดยยืนยันจะมีการจัดการตามกรอบของกฎหมายต่อไป

นอกจากทางด้านเหล่าคนดังที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับ “ลุงพล” แล้วนั้น ยังก็ยังมีนายธนา วาริยศ สรรพากรพื้นที่มุกดาหาร ได้ออกมาเผยถึงกรณีของ ลุงพลและป้าแต๋น ที่สรรพากรมีข้อมูลอยู่แล้วและได้มีการติดตามโดยตลอด อีกอย่างตามที่รู้มา ลุงพลก็รู้อยู่แล้วว่าตัวเองมีรายได้เข้าเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี แต่ถ้าไม่เสียภาษีจะมีความผิดทางอาญาและทางแพ่ง ซึ่งส่วนของเงินบริจาคนั้นต้องไปดูข้อเท็จจริงและรายละเอียดก่อนแต่เรื่องรายได้ของลุงพลนั้นไม่สามารถเปิดเผยได้เพราะเป็นสิทธิส่วนบุคคล

นอกจากนี้ ทางเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ จ.มุกดาหาร เข้าตรวจสอบไม้ตะเคียนที่ศาลเเม่ตะเคียนโสรภี ข้างบ้าน “ลุงพล” หลังนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ยื่นเอกสารให้ตรวจสอบ โดยระหว่างเจ้าหน้าที่กำลังอ่านข้อร้องเรียนให้ลุงพลฟังท่ามกลางสื่อมวลชนที่มาติดตามทำข่าวนี้ จู่ๆ ลุงพลเกิดอาการของขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ เข้าเเย่งไมค์สื่อช่องหนึ่ง ซึ่งผู้สื่อข่าวช่องดังกล่าวพยายามชี้เเจงว่า ได้เข้ามาทำหน้าที่ตามปกติ หลังจากนั้นลุงพลได้โผเข้าใส่ ก่อนทุบหลัง 2 ครั้ง พร้อมกับผลักไหล่ แล้วจะพยายามบีบคอเเละกระชากหน้ากากอนามัยออก

-ป่าไม้ตรวจต้นตะเคียนบ้าน’ลุงพล’ เจ้าตัวของขึ้นทำร้ายสื่อ

โดยภายหลัง ศูนย์ป่าไม้มุกดาหาร และตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิด เกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) เชิญตัว “ลุงพล” รับทราบข้อหาบุกรุกพื้นที่ป่าสงวน 2 งาน ก่อสร้างองค์พญานาค สูง 7 เมตร ก่อนนำตัวไปสอบปากคำที่ สภ.ภูหลวง รวมทั้งป้าแต๋น หลังสอบปากคำนานกว่า 6 ชั่วโมง ลุงพลได้ประกันตัวในชั้นสอบสวน โดยตีวงเงินประกัน 1 แสนบาท ภายหลังคดีดังกล่าวได้โอนมายังกองกำกับการ 3 บก.ปทส. เป็นผู้รับผิดชอบคดี

วันเวลาล่วงเลยจนครบรอบ 1 ปี การเสียชีวิตของ “น้องชมพู่”.. 11 พ.ค. 2564 ..พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตำรวจไม่ได้นิ่งนอนใจ ยังคงทำงานตลอด โดยชุดทำงานในพื้นที่เข้าสอบพยานเพิ่มเติม ซึ่งเป็นพยานกลุ่มเดิม แต่สอบเพิ่มในประเด็นที่ยังมีครอบคลุมเพื่อเตรียมนำส่งสำนวนไปยังอัยการภายในเดือน พ.ค. ส่วนกระแสข่าวว่าจะจับกุมคนร้ายในช่วงกลางเดือนนั้น ไม่เป็นความจริง แต่ทางตำรวจได้วางกรอบเวลาไว้ชัดเจน ยืนยันไม่มีการปล่อยให้คนผิดลอยนวล

หลังจากนั้น ในวันที่ 1 มิ.ย. 2564 ศาลจังหวัดมุกดาหารอนุมัติหมายจับ “ลุงพล” ใน 3 ข้อหาคือ 
1.พรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี ไปเสียจากบิดามารดา 
2.ทอดทิ้งเด็กอายุไม่เกินเก้าปี 
3.กระทำการใดๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป

โดยหลังจากนั้นเพียงหนึ่งวัน.. ในวันที่ 2 มิ.ย. นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ “ทนายตั้ม” ได้พาตัว “นายไชย์พล” เดินทางมาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อมอบตัว

-‘ลุงพล’สีหน้าเรียบเฉย ตร.แจ้งข้อหา-คุมตัวไปโรงพัก

เวลาล่วงผ่านไปราว 2 เดือน..ลุงพล ป้าแต๋น  พร้อมบุตรชาย 2 คน ได้เดินทางมาที่อัยการจังหวัดมุกดาหาร พร้อมด้วยนายษิทรา เบี้ยบังเกิด ทนายความ เพื่อให้ปากคำเพิ่ม เมื่อวันที่ 25 ส.ค.ที่ผ่านมา

จนในวันที่ 26 ส.ค. ชื่อของ “ลุงพล” ก็กลับมาเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อีกครั้ง เมื่ออัยการจังหวัดมุกดาหาร ได้ยื่นฟ้องข้อกล่าวหาเพิ่มเติม กับนายไชย์พล ซึ่งอัยการพิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อให้การดำเนินคดีเป็นไปโดยสอดคล้องกับพยานหลักฐานและพฤติการณ์ทั้งหลายที่ปรากฏในสำนวนการสอบสวน จึงให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเพิ่มเติม โดยให้แจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมแก่ผู้ต้องหาในข้อหาความผิด ฐานฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 15 ปีถึง 20 ปี

-ด่วน!เอาผิดลุงพลเพิ่มฐาน ‘เจตนาฆ่า’ น้องชมพู่ เรียกแจ้งข้อหาบ่ายนี้

ส่วนจุดจบของ “คดีน้องชมพู่” ที่ยาวนานกว่า 1 ปี ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ของสังคมไทยจะเป็นอย่างไร?.. ต้องติดตาม…