ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 3 มี.ค. ที่ผ่านมา​ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานพระวโรกาสให้พระเทพวัชรเมธี อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย (มมร.)​ เข้าเฝ้ารับประทานแผ่นทอง เพื่อเชิญไปประกอบพิธีเททองหล่อพระพุทธรูปประจำอาคารปฏิบัติธรรม ซึ่ง มมร.ขอประทานพระอนุญาตจัดสร้างขึ้น โดยสมเด็จพระสังฆราช ประทานนามพระพุทธรูปดังกล่าวว่า “พระพุทธวิชชาจรณุตตมมงคล” หมายความว่า “พระพุทธเจ้าผู้ทรงถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ โปรดประทานธรรมอันนำมาซึ่งความเจริญสูงสุด” พร้อมกันนี้ ประทานพระอนุญาตให้ประดิษฐานตราสัญลักษณ์งานฉลองพระชนมายุ 8 รอบ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก 26 มิ.ย. 2566 บนผ้าทิพย์ที่ฐาน “พระพุทธวิชชาจรณุตตมมงคล” เป็นปฐมฤกษ์แห่งการเชิญตราสัญลักษณ์ดังกล่าวประดิษฐานบนถาวรวัตถุที่ระลึก

จากนั้น สมเด็จพระสังฆราช มีพระบัญชาโปรดให้ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช อุปนายกสภา มมร. เป็นผู้แทนพระองค์ไปเป็นประธานในพิธีเททองหล่อ “พระพุทธวิชชาจรณุตตมมงคล” ที่ มมร. อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม และโปรดให้เชิญพระสัมโมทนียกถา เนื่องในโอกาสที่ มมร. จัดตั้งสถาบันกรรมฐานศึกษาสมเด็จพระสังฆราช (อมฺพรมหาเถร) ในพระสังฆราชูปถัมภ์ ประทานไปอ่าน ความตอนหนึ่งว่า ขออนุโมทนาสาธุการ ที่ท่านทั้งหลายพร้อมเพรียงกันก่อตั้งสถาบันกรรมฐานศึกษาขึ้น ในมมร.เพื่อเป็นเกียรติแก่อาตมภาพ เนื่องในโอกาสที่จะมีอายุ 8 รอบนักษัตรในปีนี้ สรรพสิ่งในโลก ซึ่งหมายรวมทั้งชีวิตของเราทุกคน ล้วนประกอบกันเข้าด้วย “รูปธรรม” และ “นามธรรม” ไม่มีสิ่งใดที่จะเว้นขาดไปจากรูปและนามได้ นอกจากพระนิพพาน เพราะฉะนั้น การยึดมั่นถือมั่นว่ารูปนั้น นามนี้ เป็นตัวเรา เป็นของเรา ย่อมเป็นกระบวนการของโลกียวิสัย ซึ่งก่อให้เกิดความฟุ้งซ่าน คอยยึดหน่วงรั้งไม่ให้ชีวิตสัตว์ทั้งหลายได้ดำเนินเข้าสู่กระแสพระนิพพาน และความวุ่นวายเช่นนี้เองที่บั่นทอนสุขภาวะทางกายและทางจิตของทุกชีวิต

การทำงานของกายก็ดี การทำงานของจิตก็ดี สำหรับมนุษย์ผู้ปรารถนาสันติสุข จึงจำเป็นต้องมี “ฐาน” ที่มั่น ที่ยึดถือไว้มิให้เตลิดเลื่อนลอย เดือดร้อนรำคาญไปอย่างไร้จุดหมาย ส่วนการทำงานหรือการกระทำ ในภาษามคธก็เรียกว่า “กรรม” ด้วยเหตุนี้ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงพระมหากรุณาประทานอุบายวิธีแห่ง “กรรมฐาน” ไว้ให้สรรพชีวิตได้มีฐานที่ตั้งแห่งการกระทำ เป็นกลวิธีเหนี่ยวนำให้เกิดสมาธิและปัญญา การศึกษาอบรมกรรมฐานจึงมีคุณประโยชน์มหาศาล เพราะย่อมจักช่วยนำมาซึ่งความสงบที่แท้จริงของชีวิตปัจเจกบุคคล และของสังคมโลกส่วนรวมได้ กรรมฐานในทางพระพุทธศาสนา สามารถจำแนกออกได้เป็น 2 สถาน กล่าวคือ “สมถกรรมฐาน” เป็นอุบายข่มกิเลสนิวรณ์ทั้งหลายให้สงบระงับ และ “วิปัสสนากรรมฐาน” เป็นการศึกษาอบรมเพื่อเจริญปัญญา ให้สามารถหยั่งเห็นอาการต่าง ๆ ที่แท้จริง มีความไม่เที่ยง และไม่อาจควบคุมได้ เป็นต้น

ดังนี้ การศึกษาอบรมกรรมฐานจึงควรดำเนินไปบนวิถีแห่งการงาน ที่เป็นเหตุแห่งการบรรลุธรรมทั้ง 2 รูปแบบ โดยอาจนำศาสตร์และศิลป์หลากแขนง มาประกอบการศึกษา ค้นคว้า วิจัย เปรียบเทียบ และแสวงหากุศโลบายซึ่งเหมาะสมแก่กาละและเทศะ เพื่อพิสูจน์ความเป็น “อกาลิโก” แห่งพระพุทธศาสนา ให้เป็นที่ประจักษ์แก่ชาวโลกในยุคปัจจุบันได้อย่างกว้างขวางต่อไป อาตมภาพขอแสดงความชื่นชมยินดีในกุศลเจตนาของทุกท่าน ที่ร่วมกันก่อตั้งสถาบันกรรมฐานศึกษาในนามของอาตมภาพ และจะได้เข้าใช้พื้นที่สถานปฏิบัติธรรม ณ ธรณีสงฆ์วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ที่ อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี เป็นสถานที่ทำการฝึกอบรม ก่อให้เกิดคุณูปการต่อชาวโลกอย่างยั่งยืน