เมื่อวันที่ 15 มี.ค. อาจารย์ภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ สำรวจพบวัสดุแปลกปลอม คาดว่าน่าจะเป็น “อิฐเผา” กลางป่า “เขาพนมรุ้ง” จ.บุรีรัมย์ ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญที่ยืนยันว่า บนเขาพนมรุ้ง ไม่ได้มีแค่ปราสาทหินพนมรุ้งเพียงอย่างเดียว แต่มีสิ่งปลูกสร้างโบราณซ่อนอยู่

การค้นพบวัสดุใหม่ดังกล่าวเกิดจากการลงพื้นที่สำรวจเขาพนมรุ้ง โดย ศ.ดร.สันติ ภัยหลบลี้ อาจารย์ภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ และคณะนักวิจัย ผู้สนใจศึกษาด้านโบราณคดีผ่านข้อมูลโทรสัมผัส (Remote Sensing) และภูมิสารสนเทศ (GIS) ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ค้นพบร่องรอยสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่เขาพนมรุ้ง อุทยานประวัติศาสตร์ของไทย ที่มีอายุเก่าแก่นับพันปี

ศ.ดร.สันติ ให้ข้อมูลว่า ในทางธรณีวิทยา เขาพนมรุ้ง เป็นภูเขาไฟยุคใหม่ (ยุคควอเทอร์นารี) ที่เกิดจากลาวาปะทุเมื่อประมาณ 1 ล้านปีก่อน ซึ่งจากการสำรวจชนิดหินของนักธรณีวิทยาได้ข้อสรุปว่า เขาพนมรุ้ง เกิดขึ้นเนื่องมาจากการไหลหลากทับถมกันของลาวาที่มาจากแมกมาสีเข้ม (mafic magma) ซึ่งเมื่อลาวาเย็นตัวลง หินที่เป็นไปได้บนเขาลูกนี้จึงควรมีแค่ชนิดเดียวคือ หินบะซอลต์ (basalt)

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ศ.ดร.สันติ และทีมนักวิจัย ได้เดินสำรวจป่าบนเขาพนมรุ้ง และพบว่า นอกจากจะพบหินบะซอลต์จำนวนมากแล้ว ยังพบวัสดุแปลกปลอมใหม่ที่ไม่ใช่หินบะซอลต์ในพื้นที่ แต่มีลักษณะคล้ายปูนซีเมนต์ที่ผุกร่อน เพื่อพิสูจน์ว่าวัสดุดังกล่าวคืออะไรจึงมอบหมายให้ น.ส.นพมาศ ฤทธานนท์ นิสิตภาควิชาธรณีวิทยา จุฬาฯ นำตัวอย่างวัสดุบางส่วนไปวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการโดยเครื่องมือวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่า เครื่องวิเคราะห์การเลี้ยวเบนรังสีเอกซ์ (X-ray Diffractometer หรือ XRD) ซึ่งสามารถวิเคราะห์สมบัติเชิงโครงสร้างของวัสดุได้โดยไม่ต้องทำลายตัวอย่าง

ซึ่งผลจากการวิเคราะห์บ่งชี้ว่าวัสดุดังกล่าวประกอบไปด้วย แร่ควอตซ์ (Quartz) หรือ ตะกอนทราย และส่วนใหญ่ที่พบคือ แร่ดิน (Clay Mineral) หรือดินเหนียว ที่เชิงอุตสาหกรรม เรียกว่า ดินเกาลิน (Kaolin) ที่ปัจจุบันนำมาใช้ปั้นถ้วยชามเซรามิก

นอกจากนี้ ศ.ดร.สันติ และทีมสำรวจ ได้สำรวจพื้นที่ราบโดยรอบเขาพนมรุ้ง พบบ่อน้ำชาวบ้านที่เพิ่งขุดใหม่ แสดงให้เห็นการลำดับชั้นหินในพื้นที่ โดยชั้นล่างสุดคือ หินทรายแป้งสีแดง ถัดขึ้นไปชั้นกลางคือ ดินเกาลินสีขาว และชั้นบนสุดคือดินสีดำ ที่เกิดจากการผุพังของหินบะซอลต์บนเขาพนมรุ้งและไหลมาสะสมตัวปิดทับพื้นที่นี้ในภายหลัง จึงเป็นหลักฐานสำคัญที่บอกว่า ดินเกาลินที่ใช้สร้างสิ่งก่อสร้างบางอย่างบนเขาพนมรุ้งสามารถหาได้ง่ายในพื้นที่

ศ.ดร.สันติ กล่าวต่อว่า จากการถ่ายภาพเนื้อวัสดุแบบความละเอียดสูงด้วย กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแบบสแกนนิง (Scanning Electron Microscope, SEM) ซึ่งสามารถแสดงรายละเอียดของโครงสร้างภายนอกหรือผิวของตัวอย่างแบบ 3 มิติ ได้อย่างชัดเจน พบผลึกควอตซ์เม็ดใหญ่ ที่ล้อมรอบด้วยดินเกาลินที่มีพื้นผิวไม่เรียบ เมื่อเปรียบเทียบกับงานวิจัยในอดีต ที่รายงานความแตกต่างของเนื้อดินเกาลินที่สัมพันธ์กับอุณหภูมิที่ได้รับ สรุปได้ว่า ดินเกาลิน หรือวัสดุแปลกปลอมบนเขาพนมรุ้ง ได้รับการเผาด้วยอุณหภูมิประมาณ 700-800 องศาเซลเซียส หลังจากการศึกษาในรายละเอียดในห้องปฏิบัติการ และผ่านเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ขั้นสูง ทำให้อนุมานได้ว่าวัสดุดังกล่าวน่าจะเป็น “อิฐเผา”

“เมื่อลงพื้นที่สำรวจอีกครั้งในภายหลังพบหลักฐานชิ้นสำคัญคือ ก้อนวัสดุใหม่แสดงทั้งความผุและไม่ผุอยู่ในก้อนเดียวกัน ส่วนที่ผุมีสีขาว ส่วนที่ยังไม่ผุมีสีส้มอมดิน เหมือนอิฐมอญในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังพบร่องรอยรูขนาดเล็ก และแนวเส้นใยเล็ก ๆ ที่ชอนไชอยู่ในเนื้อก้อนดินหรืออิฐดังกล่าว จึงสันนิษฐานว่าในกระบวนการผลิตวัสดุดังกล่าวน่าจะมีการผสมเศษฟางเศษหญ้าเข้ามาปั้นเป็นก้อนดินนั้นด้วย จึงเป็นหลักฐานสำคัญที่ช่วยยืนยันว่า กลางป่าพนมรุ้งมีสิ่งปลูกสร้างโบราณซุกซ่อนอยู่ ไม่ได้มีแค่ปราสาทหินพนมรุ้งเพียงอย่างเดียว” ศ.ดร.สันติ ระบุ

ภาพจาก chula.ac.th