เมื่อวันที่ 30 มี.ค. ที่หอประชุมมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ถนนวิภาวดีรังสิต นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้เข้าร่วมเวทีตอบข้อซักถาม “มุมมองของภาคธุรกิจต่อนโยบายขับเคลื่อนประเทศ” โดยหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย โดยนายพิพัฒน์ ได้กล่าวถึงเรื่องของการสนับสนุนผู้ประกอบการรุ่นใหม่ การส่งเสริมจำนวนและคุณภาพของ Start Up และผู้ประกอบการรุ่นใหม่ประเทศไทยให้มีมากขึ้นทัดเทียมคู่แข่งในอาเซียนหรือทั้งเอเชียและทั้งโลก ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกเมื่อเร็วๆ นี้ ก็คือ Silicon Valley เป็นแบงค์ที่สนับสนุนเรื่องของ Start Up ในนามของพรรคภูมิใจไทย เรื่องของ Start Up เราต้องทำการส่งเสริม บ่มเพาะ และต่อยอด Start Up และผู้ประกอบการรุ่นใหม่ในประเทศ แต่สิ่งเหล่านี้ มาตรการการส่งเสริมเรา จะมีมาตรการอย่างไรในการส่งเสริมการลงทุนการทำเรื่องมาตรการทางภาษี

ที่สำคัญคือให้ความสำคัญกับแหล่งเงินทุนสำหรับ Start Up ซึ่งปัจจุบันนี้ Start Up ในประเทศไทยมีอยู่มากมาย แต่การที่เราจะเข้าไปถึง Start Up ได้อย่างไร หรือ Start Up จะเข้ามาถึงสถาบันการเงินได้อย่างไร ก่อนที่จะเข้าไปถึงสถาบันการเงินอยากจะขอให้บริษัทต่างๆ ที่เป็นบริษัทใหญ่ๆ ในประเทศไทย ให้พวกเราช่วยกันส่งเสริมและดูแลเรื่องของ Start Up โดยเฉพาะในแต่ละบริษัทในแต่ละ section ของประเทศไทย ต้องการให้มีการจัดการประกวด Start Up ในสิ่งที่พวกเราต้องการในสาขาวิชาอาชีพที่บริษัทนั้นๆ ประกอบการอยู่ นี่คือสิ่งที่จะเป็นการต่อยอดทำให้ Start Up ของประเทศไทย สามารถยืนอยู่ได้โดยไม่ต้องไปทำมาหากิน หรือไปแสวงหาความยั่งยืนความเจริญเติบโตในต่างประเทศ

“การที่เยาวชนไทยต้องออกไป ดิ้นรนไปต่อสู้ในต่างประเทศ ทำให้ประเทศไทยวันนี้ เราขาดแรงงานที่เป็นสกิล เราขาดมันสมอง เราขาดในหลายๆ อย่างที่เป็นสิ่งที่ช่วยให้ประเทศไทยเราสามารถก้าวสู่ความเป็นเลิศ ก้าวสู่ความเป็นยุคสมัยใหม่ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้ พวกเราคิดว่า ควรจะนำ Start Up ที่มีอยู่ และให้การส่งเสริม และที่สำคัญที่สุดจะต้องติดอาวุธที่ดีที่สุดให้กับ Start Up ก็คือการให้โอกาส และเงินทุนการสนับสนุน โดยเฉพาะรัฐบาลควรจะตั้งกองทุนสำหรับการที่จะพัฒนา Start Up การที่จะทำวิจัยและให้ Start Up มีบทบาทและมีที่สำหรับการที่จะแสดงความสามารถในการออกความคิดเห็นในการคิดสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ”

สำหรับพรรคภูมิใจไทย นโยบายในการขับเคลื่อนประเทศมีการเสนอ 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ดูแลกลุ่มเปราะบาง ด้วยนโยบาย ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ซึ่งตรงนี้การที่จะลดรายจ่าย หรือ เพิ่มรายได้ คือ กองทุนสำหรับผู้สูงวัยอายุ 60 ปีขึ้นไป เมื่อเสียชีวิตจะได้ 100,000 บาท ในขณะที่คุณยังมีชีวิตอยู่ สามารถนำกรมธรรม์ 100,000 บาท ตรงนั้นไปกู้ฉุกเฉินเป็นวงเงิน 20,000 บาทได้ เมื่อคุณจากโลกนี้ไปก็สามารถนำไปตัดทอน ส่วนที่ 2 คือ พักหนี้พักดอก 1 ล้านบาท เป็นเวลา 3 ปี โดยไม่มีการเอาดอกไปพอกเป็นต้น เริ่มชำระคือปีที่ 4 ในส่วนที่ 2 ก็คือบริการสาธารณสุข ทางกระทรวงสาธารณสุขนำโดยท่านหัวหน้าพรรค นายอนุทิน ชาญวีรกูล ก็พร้อมนำเสนอเรื่องของศูนย์ฉายมะเร็งทุกจังหวัดฟรี แล้วก็มีการฟอกไต ในทุกอำเภอในทุก รพ.สต. ซึ่งต่อไปคนไทยที่มีปัญหาเรื่องของโรคไต หรือมะเร็ง ก็ไม่จำเป็นต้องเดินทางข้ามไปจังหวัดใหญ่ๆ สามารถดูแลและฟอกไตใน รพ.สต. ในอำเภอของตัวเองได้ นั่นก็คือเรื่องการบริการสาธารณสุข

สำหรับประเด็นสุดท้าย จะมีการนำรายได้จากการท่องเที่ยวมาพัฒนาประเทศ ซึ่งแน่นอนว่าตามที่สภาพัฒน์ได้กำหนดไว้ว่าในปี 2570 เราควรจะมีรายได้จากการท่องเที่ยวเป็น 25% ของ GDP ซึ่งจะประมาณการว่า 25% ของ GDP นั้น ประมาณสัก 5.7 ถึง 6 ล้านล้านบาท การที่เราจะทำเรื่องของรายได้จากการท่องเที่ยว คือทำอย่างไรนำการท่องเที่ยว ให้กระจายลงสู่ชุมชนให้ได้

“ประเทศไทยเรามีท้องถิ่นมากมายถึงหลายหมื่นท้องถิ่น เราจะทำอย่างไร ในการกระจาย การท่องเที่ยว ไปสู่ท้องถิ่นต่างๆ นั่นก็คือเราต้องไป รีสกิล อัปสกิล โดยกรมการท่องเที่ยว ไปสอนและแนะนำ แต่ที่สำคัญที่สุด ต้องทำการท่องเที่ยวสู่ชุมชน ในลักษณะของคำว่า BCG นั่นก็คือ เราต้องพยายามโยงทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไปสู่ BCG ได้ เป็นการลดโลกร้อน ดูแลเรื่องของความยั่งยืน ดูแลเรื่องของสิ่งแวดล้อม สิ่งเหล่านี้ก็เป็นการพัฒนา”

นายพิพัฒน์ ได้กล่าวอีกว่า ประเทศไทยมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายที่คนทั้งโลกรู้จัก แต่จะให้มีสถานที่เพิ่มในการรับนักท่องเที่ยว ให้ได้ 80 ล้านคนในปี 2570 ได้อย่างไร เราต้องมีการขยายพื้นที่ Property และสิ่งที่สำคัญที่สุดคนไทยเราคือ Soft Power ที่ดีที่สุดสำหรับการท่องเที่ยวในประเทศไทย

“สำหรับการฟื้นฟู และดึงนักท่องเที่ยวมาสู่ประเทศไทย คือการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษด้านการท่องเที่ยว ถ้าหากพรรคภูมิใจไทยได้กลับไปเป็นรัฐบาล ก็จะนำเรื่องของเขตเศรษฐกิจพิเศษ เรื่องของการท่องเที่ยว ก็คือ จังหวัดภูเก็ต เชียงใหม่ ชลบุรี อ.หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เราจะประกาศให้เป็นพื้นที่พิเศษ สำหรับการท่องเที่ยวโดยเฉพาะในเรื่องของฟรีเทรด สิ่งเหล่านี้ เป็นความมุ่งหวัง และเป็นการทำให้นักชอปปิงเกิดความสนใจในประเทศไทย ไม่จำเป็นต้องไปฮ่องกง สิงคโปร์ หรือยุโรป แต่ให้หันกลับมาชอปปิงในประเทศไทยได้ นี่คือความมุ่งหวังและสำคัญที่สุด ถ้าหากฟังแล้ว พวกท่านถูกใจ ก็โมเมนต์ที่ใช่ เลือกได้ ไม่ต้องรอ พูดแล้วทำ พรรคภูมิใจไทย” นายพิพัฒน์ กล่าว.