เมื่อวันที่ 26 พ.ค. ที่โรงเรียนวัดราชสิงขร เขตบางคอแหลม นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวเปิดโครงการนำร่องผ้าอนามัยฟรี ในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร เขตบางคอแหลม ประจำปี พ.ศ. 2566 ว่า โครงการนี้เป็นการนำเรื่องสาธารณสุขและการศึกษามาผนวกเข้าด้วยกัน ซึ่งเข้าถึงกลุ่มนักเรียนที่อยู่ในช่วงก้าวเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์  สำหรับผ้าอนามัยฟรีที่ กทม. แจกให้นักเรียน ไม่ได้จำกัดเพียงคนที่ประสบปัญหาขาดแคลน แต่เป็นนโยบายสำหรับนักเรียนหญิงทุกคนที่มีประจำเดือนให้เข้าถึงผ้าอนามัยในปริมาณที่เพียงพอ และหัวใจสำคัญของโครงการนี้ไม่ใช่การแจก ไม่ใช่การกุศล แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้เรื่องความแตกต่างทางเพศ การมีความรู้ความเข้าใจในการดูแลสุขอนามัยและเพศศึกษาเมื่อก้าวเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์อย่างถูกต้อง

โดยวันนี้ได้นำร่องแจกผ้าอนามัยฟรี  7 โรงเรียนสังกัด กทม. ในเขตบางคอแหลม ได้แก่ โรงเรียนวัดราชสิงขร โรงเรียนวัดไผ่เงินโชตนาราม โรงเรียนวัดลาดบัวขาว โรงเรียนวัดจันทร์ใน โรงเรียนวัดจันทร์นอก โรงเรียนวัดไทร โรงเรียนวัดบางโคล่นอก โดยโครงการนำร่องครั้งแรกที่โรงเรียนวัดราชสิงขร ซึ่งเป็นโรงเรียนเดียวในพื้นที่เขตบางคอแหลม ที่มีตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษาตอนต้น มีนักเรียนราว 1,100 คน นักเรียนหญิงที่ร่วมโครงการประมาณ 200 คน อยู่ระหว่างชั้น ป.4-ม.3 ซึ่งก่อนหน้านี้ต้องใช้งบประมาณของทางโรงเรียนในการจัดซื้อให้เด็กนักเรียน

สำหรับนโยบายนำร่องผ้าอนามัยฟรีของกรุงเทพมหานคร เกิดขึ้นเพื่อแบ่งเบาภาระผู้ปกครอง ช่วยเหลือนักเรียนหญิงที่อยู่ในระดับชั้น ป.4-ม.6 ของโรงเรียนในสังกัด กทม. จำนวนกว่า 100,000 คน ให้เข้าถึงการใช้ผ้าอนามัยและมีความรู้ในการดูแลสุขอนามัยของตัวเองและความรู้ด้านเพศศึกษาอย่างถูกต้องและถูกวิธี โดยปี 2566 ได้แจกผ้าอนามัยใน 7 โรงเรียนที่เขตบางคอแหลม และจะเพิ่มเติมอีก 3 เขตในกรุงเทพมหานคร โดยได้รับการสนับสนุนผ้าอนามัยจากบริษัท Kao Industrial (Thailand) จำนวน 60,000 ชิ้น และการสนับสนุนกระบวนการให้ความรู้จากโครงการยังฝัน (YOUNGFUN)

และในปี 2567 อยู่ระหว่างของบประมาณเพื่อขยายผลโครงการในอีก 109 โรงเรียน ให้เด็กนักเรียนหญิงมีผ้าอนามัยใช้ทุกเดือน โดยจัดให้คนละ 15 ชิ้นต่อเดือน ทั้งนี้ เป้าหมายในระยะยาวของนโยบายผ้าอนามัยฟรี คือการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกใน 2 มิติ คือ มิติที่ 1 ด้านสังคม ที่นักเรียนทุกคนต้องมีสุขอนามัยที่ดี มิติที่ 2 ด้านเศรษฐกิจ ที่ผู้หญิงไม่ต้องเผชิญภาระค่าใช้จ่ายผ้าอนามัยที่อาจสูงถึง 2,500 บาทต่อปี.