“ทีมข่าวชุมชนเมือง” มีโอกาสสอบถามข้อมูลเพื่อทำความรู้จักสารเคมีชนิดนี้ เผื่อเป็นประโยชน์พื้นฐานให้คนทั่วไปได้เข้าใจถึงพิษภัย ไปจนถึงข้อเสนอการควบคุม เพื่อลดโอกาสเล็ดลอดนอกระบบ
ผศ.ดร.วิภู ศรีสืบสาย คณบดีวิทยาลัยเทคโนโลยีและนวัตกรรมวัสดุ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ทำความเข้าใจถึงไซยาไนด์ว่าเป็นกลุ่มของสารเคมีที่มี “ไซยาไนด์ไอออน” ไออน ก็คือประจุลบ CN-(ซีเอ็นลบ) ประกอบด้วย อะตอมของคาร์บอน (C) และอะตอมของไนโตรเจน (N) ซึ่งสารที่มีกลุ่มCN- (ซีเอ็นลบ) เป็นองค์ประกอบที่เรารู้จักกันก็จะมีพวก แคลเซียมไซยาไนด์, ไฮโดรเจนไซยาไนด์, โพแทสเซียมไซยาไนด์
ตัวอย่างที่นำไปใช้อะไรบ้าง เช่น แคลเซียมไซยาไนด์ นำไปทำเป็นยาฆ่าแมลง ยาปราบวัชพืช, โพแทสเซียมไซยาไนด์ นำไปทำในอุตสาหกรรมเกี่ยวกับโลหะ ทำแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนไฮโดรเจนไซยาไนด์ มีสถานะเป็นแก๊ส จะนำไปทำเป็นส่วนประกอบของนิกเกิล
โดยสารพวกนี้หากนำเข้าสู่ร่างกายโดยตรง ถึงแม้ปริมาณน้อยมากๆ ก็อันตรายต่อชีวิตได้ แต่ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน เช่น ยาฆ่าแมลง เราไม่ได้ฉีดเข้าจมูกโดยตรง แต่เมื่อเราฉีดพ่นแล้วฟุ้งไปในอากาศจึงทำให้สูดดมเข้าไปเพียงนิดหน่อย และไม่ถึงกับชีวิตในทันที อีกทั้งมีปริมาณไซยาไนด์ไม่มากในสารประกอบเหล่านั้น
“พูดง่ายๆ ก็คือถ้ารับเอาไปตรงๆ หรือกินเข้าไป หรือสูดดมตรงๆ ก็เสียชีวิตได้ในเวลาอันรวดเร็ว”
ส่วนการจัดเก็บ ควบคุม และเคลื่อนย้ายสารมีพิษสูง ผศ.ดร.วิภู มองว่า เนื่องจากเป็นสารเคมี ผู้ที่จะมีไว้ในครอบครองต้องเป็นบริษัทที่ใช้ ส่วนคนปกติไม่ควรมีเก็บไว้ที่บ้าน แต่ถ้ามีก็จะเป็น “โปรดักส์” หรือผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้นมาแล้ว เช่น ยาฆ่าแมลง แต่ถ้าเป็นตัวองค์ประกอบของไซยาไนด์จริงๆ ควรเก็บไว้ใน “ตู้เก็บสารเคมี” ซึ่งมีภาชนะขวดเก็บเรียบร้อย บางตู้ก็จะมีการควบคุมความชื้น เพราะไซยาไนด์บางตัวเมื่อถูกความชื้นจะระเหยกลายเป็นไอ ซึ่งส่งผลด้วยเช่นกัน
อาทิ ในมหาวิทยาลัย หรือในบริษัทที่ต้องใช้จะมีตู้เก็บเฉพาะ และมีนักวิทยาศาสตร์หรือเจ้าหน้าที่คอยเปิดเบิกจ่าย ซึ่งจะมีการควบคุมอยู่ในตัวอยู่แล้ว ผู้ที่จะขายได้หรือมีไว้ในครอบครองได้ หรือใช้งานได้ ต้องขึ้นทะเบียนมีใบอนุญาต บุคคลทั่วไปไม่ควรจะมีไว้ ซึ่งเป็นไปตามหลักการควบคุมที่ไซยาไนด์เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 ตาม พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 ดังนั้น ผู้นำเข้า ส่งออกหรือครอบครอง ต้องขึ้นทะเบียนวัตถุอันตรายและได้รับอนุญาตให้ดำเนินการได้ คนซื้อคนขายก็ต้องขึ้นทะเบียนไว้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม จากช่องโหว่ที่มีการสั่งซื้อทางออนไลน์ซึ่ง ผศ.ดร.วิภู ชี้ว่า ในออนไลน์ไม่ได้มีเพียงไซยาไนด์ แต่จะมีวัตถุอันตรายชนิดอื่นๆ ดังนั้น ในภาพรวมสิ่งที่อันตรายต่างๆ จะต้องควบคุมตั้งแต่คนขาย คนซื้อ ต้อง “ขออนุญาต” ก่อน และเมื่อขออนุญาตแล้วก็ไม่ควรมาอยู่ในรูปแบบออนไลน์ และต้องให้ความรู้กับบุคคลทั่วไปว่า อะไรเรียกว่าเป็นวัตถุอันตรายและห้ามไม่ให้จำหน่ายโดยทั่วไป หรือขายกันอย่างเสรี เพราะของเหล่านี้ต้องมีการควบคุม
เนื่องจากทุกขั้นตอนตั้งแต่จัดเก็บ ขนส่ง มีวิธีเฉพาะ แต่ที่ผ่านมานอกจากไซยาไนด์ชนิดต่างๆ ยังมีสารเคมีจำพวกกรดที่เป็นอันตรายก็ยังมีขายด้วยเช่นกัน พูดง่ายๆ คือสารเคมีหลายๆ อย่างมีขายออนไลน์
“แท้จริงแล้วสารเคมีทุกอย่างก็ไม่ควรจะขายในออนไลน์ได้ เพราะมันสามารถเอาไปทำได้หลายอย่าง เพราะถ้าคนนำไปใช้ในทางที่ผิดก็จะมีประเด็นอย่างที่เกิดขึ้น”
ผศ.ดร.วิภู ฝากข้อแนะนำถึงประชาชนห่างไกลจากสารอันตรายถ้าโดยทั่วไปคิดว่าถ้าเราใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีไซยาไนด์เป็นส่วนประกอบ เช่น ยาฆ่าแมลง ยาปราบศัตรูพืช ก็ต้องใส่หน้ากากป้องกันสารเคมี ใส่ถุงมือ ใส่ชุดที่ป้องกัน ไซยาไนด์บางชนิดเป็นสารที่ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น หากมีการผสมในน้ำ หรืออาหารก็จะทำให้เราไม่ได้กลิ่นด้วยซ้ำไป หรือบางชนิดจะมีกลิ่นคล้ายอัลมอนด์ ดังนั้น ในผลิตภัณฑ์ที่ใช้กำจัดแมลง ทางบริษัทผู้ผลิตจึงได้มีการใส่กลิ่นไว้ เพื่อให้ผู้ใช้เกิดความระมัดระวัง
“เนื่องจากไซยาไนด์จะไปบล็อกการได้รับออกซิเจนของเซลล์ ร่างกายจะไม่ได้รับออกซิเจน ก็จะทำให้มีปัญหากับระบบการหายใจ ระบบสมองส่งผลให้หายใจไม่ได้”
นอกจากนี้ ยังฝากข้อเสนอแนะในส่วนหน่วยงานที่มีอำนาจควบคุมว่าควรมีมาตรการที่เข้มข้น หากมองปัจจุบันที่มีไซยาไนด์มาขายเสรีในออนไลน์ได้ ก็ค่อนข้างอันตรายเกินไป ต้องระมัดระวังและป้องกันให้มาก เช่น ลงทะเบียนคนซื้อคนขาย ซึ่งควรให้ซื้อในนามนิติบุคคลไม่ใช่บุคคล
“ควรจะเป็นแค่หน่วยงาน บริษัทเอกชน หน่วยงานของรัฐ หรือมหาวิทยาลัยที่ซื้อได้ เพราะมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนว่าซื้อไปเพื่อทำอะไร เช่น นำไปเป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์กำจัดแมลง นำไปใช้ในการเรียนในห้องแล็บ ไม่ใช่บุคคลทั่วไปที่ซื้อได้เพราะไม่รู้ว่าวัตถุประสงค์จะซื้อไปทำอะไร”
การใช้สารเคมีอันตรายทุกอย่างไม่เพียงไซยาไนด์ต้องมีการควบคุมเคร่งครัดจากภาครัฐ การซื้อขายต้องมีการลงทะเบียนอย่างชัดเจน คนที่ซื้อก็ควรจะเป็นหน่วยงานที่เป็นนิติบุคคล หรือหน่วยงานรัฐเท่านั้น บริษัทที่นำเข้ามาก็จะรู้ได้ว่ามาขายให้ใครบ้างทำให้ควบคุมได้ระดับหนึ่ง
ขณะเดียวกันภาครัฐต้องให้ความรู้ประชาชนทั่วไปด้วยว่าอะไรที่ไม่สามารถจะขายกันโดยทั่วไป หรือโพสต์ขายในโลกออนไลน์แบบปัจจุบันที่มีอยู่ได้.
ทีมข่าวอาชญากรรม รายงาน