สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงมาดริด ประเทศสเปน เมื่อวันที่ 29 พ.ค. ว่า นายกรัฐมนตรีเปโดร ซานเชซ ผู้นำสเปน แถลงผ่านสถานีโทรทัศน์แห่งชาติ เมื่อวันจันทร์ ว่าได้เข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระราชาธิบดีเฟลิเปที่ 6 เพื่อทูลเกล้าฯ พระราชกฤษฎีกา เพื่อให้พระองค์ทรงลงพระปรมาภิไธย ซึ่งการเลือกตั้งทั่วไปก่อนกำหนดจะเกิดขึ้น ในวันที่ 23 ก.ค. ที่จะถึงนี้


สำหรับสาเหตุของการยุบสภา เพื่อจัดการเลือกตั้งทั่วไปก่อนกำหนดนั้น ซานเชซให้เหตุผลอย่างตรงไปตรงมา ว่าเกี่ยวข้องโดยตรงกับผลการเลือกตั้งระดับเทศบาลและระดับภูมิภาค เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ซึ่งพรรคสังคมนิยมที่เป็นแกนนำรัฐบาล และพันธมิตร คือพรรคโปเดมอส ทำผลงานได้ไม่ดีนัก ตรงข้ามกับพรรคแกนนำฝ่ายค้าน คือพรรคประชาชนซึ่งเป็นพรรคฝ่ายขวา และพรรคว็อกซ์ ซึ่งเป็นพรรคขวาจัด “กลับทำผลงานได้ดีเกินความคาดหมาย”


ทั้งนี้ ซานเชซวัย 51 ปี ดำรงตำแหน่งผู้นำสเปนสมัยแรก ระหว่างปี 2557-2559 และหลังชนะการเลือกตั้งทั่วไป แล้วขึ้นสู่อำนาจเป็นสมัยที่สอง เมื่อปี 2561 เจ้าตัวประกาศเป้าหมาย จะอยู่ให้ครบวาระ ซึ่งหมายความว่า การเลือกตั้งทั่วไปตามกำหนด จะเกิดขึ้นในเดือน ธ.ค. ปีนี้ กระนั้น ซานเชซกล่าวว่า ผลการเลือกตั้งระดับเทศบาลและระดับภูมิภาคที่ออกมา ทำให้พรรค “ต้องประเมินสถานการณ์อย่างละเอียดรอบคอบ”


อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ดำรงตำแหน่งเป็นสมัยที่สอง รัฐบาลฝ่ายซ้ายของซานเชซ เผชิญกับอุปสรรคนานัปการ รวมถึงการที่ประชาชน “เหนื่อยหน่าย” กับนโยบายของรัฐบาล อัตราเงินเฟ้อที่ยังคงซื้อ และอำนาจการซื้อของรัฐบาลซึ่งกลับลดลง จนหลายฝ่ายมองว่า ไม่สมกับเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 4 ของยูโรโซน และเตรียมทำหน้าที่ประธานหมุนเวียนช่วงครึ่งปีหลังของสหภาพยุโรป (อียู) ในวันที่ 1 ก.ค. นี้.

เครดิตภาพ : AFP