เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์เศร้าสะเทือนใจคนไทยอยู่ในขณะนี้ สำหรับกรณี ถังดับเพลิงระเบิดที่โรงเรียนราชวินิตมัธยม หลังจัดกิจกรรมสาธิตป้องกันสาธารณภัย ซึ่งมีนักเรียนเข้าร่วมกิจกรรมจำนวน 126 คน แต่กลับปรากฏว่าเกิดเหตุถังดับเพลิงระเบิด โดยเหตุดังกล่าวส่งผลให้มีนักเรียนเสียชีวิต 1 ราย และได้รับบาดเจ็บ 25 รายนั้น
-เปิดชื่อ ‘นักเรียน’ เสียชีวิต-บาดเจ็บเหตุถังดับเพลิงระเบิด ‘ตรีนุช-ชัชชาติ’ เร่งเยียวยา

เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ล่าสุดเมื่อวันที่ 23 มิ.ย. ในโลกออนไลน์ได้แชร์เรื่องราวน่าเสียดายของ “นายขุมทอง หรือ น้องเบนซ์ (สงวนนามสกุล) นักเรียนชั้น ม.6/7” ผู้เสียชีวิตดังกล่าว โดยพบว่าน้องเบนซ์ได้ทำแฟนเพจส่วนตัว ที่ออกมาสอนให้รู้วิธีการออมเงิน

โดยโพสต์สุดท้ายของ “น้องเบนซ์” เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. ที่ผ่านมา เจ้าตัวได้โพสต์เอาไว้ว่า “สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน ตามที่ผมได้ให้สัญญาไว้บทความในครั้งนี้จะเกี่ยวกับ “การบริหารเงินของตัวผม” ซึ่งประสบการณ์ของผมนั้นเริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงวัยเด็กจวบจนปัจจุบันครับ” ผมจะขอเล่าย้อนไปในช่วงวัยเด็ก สมัยนั้นเด็กๆ ทุกคนถูกพร่ำสอนการจัดการเงินด้วยวิธีง่ายๆ นั่นคือรายได้ -รายจ่าย=เงินออม ซึ่งวิธีนี้สามารถใช้ได้ครับแต่ หากเราใช้เงินที่ได้มานั้นหมดล่ะ แล้วเงินออมของเราจะเพิ่มพูนขึ้นจากเดิมได้อย่างไรและหากเด็กๆ เหล่านั้นมีของที่อยากได้ล่ะ ไม่ว่าจะเป็น ของเล่น ขนมหลายห่อ หรือแม้กระทั่งการใช้เงินไปกับความพอใจต่างๆ

และวัยเด็กของผมนั้นก็ใช้เงินส่วนใหญ่ไปกับสิ่งที่กล่าวมา ซึ่งทำให้ผมในบางวันในแต่ละเดือนไม่มีเงินที่จะนำมาใช้ซื้ออาหาร ตรงจุดนี้แหละครับทำให้ผมตระหนักเรื่องเงินออม หรือโดยส่วนตัวผมเรียกมันว่า “เงินกันตาย” เงินที่ผมจะเก็บออมนั้นจะเป็นเงินที่ใช้ยามฉุกเฉินซะส่วนใหญ่ในช่วงนั้นแต่ผมก็มีเก็บเพื่อที่อยากจะเห็นตัวเงินมีเยอะขึ้นจนพอใจ ในวัยเด็กผมบริหารเงินโดยถือคติว่า “เงินที่เสียไปจะไม่เป็นไรหากเราได้เงินมามากกว่า” หมายความว่า หากผมใช้เงินไป 50 บาท และผมได้เงินเพิ่ม 100 บาท = ผมไม่เสียเงิน ใช่ครับมันเป็นวิธีคิดที่ไม่น่าดูชมเลยล่ะครับและจุดเปลี่ยนมาถึง เมื่อผมอายุ 11-13 ปี ผมตระหนักได้มากขึ้นและผมมีความตั้งใจที่จะออมเงินให้ได้ 10,000 บ. ในตอนที่จบ ป.6 …. ใช่ครับ ผมสำเร็จในการเก็บเงินตามเป้าจากความตั้งใจและมุ่งมั่นมากพอ และหลังจากนั้นผมก็ได้เข้าสู่โลก “การเงินและการลงทุน”

ในช่วงแรกเมื่อผมได้เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องการเงินในแบบต่างๆ ซึ่งเป็นความเข้าใจหลักพื้นฐาน ทำให้ผมได้รู้ว่าสิ่งที่ตัวผมในวัยเด็กเคยคิดเรื่องการจัดการเงินนั้น มีทั้งถูกและควรปรับปรุง หลังจากที่ผมมีความรู้ในเรื่องการจัดการเงิน บริหารเงิน ผมไม่รอช้าได้นำวิธีต่างๆ มาปรับใช้เรื่อยมา ลองวิธีการต่างๆ ที่คิดว่าดี จนกระทั่งผมค้นพบวิธีที่เรียกว่า “ไห 6 ใบ” ซึ่งวิธีเหล่านี้แบ่งได้หลายแบบใครต้องการไหกี่ใบในการจัดการเงินโดยขั้นต่ำแล้วจะมีไห 4 ใบ “ไห 6 ใบ” หมายถึง การแบ่งเงินก้อนหรือรายได้ของเราออกเป็น 6 ส่วนดังนี้
1.ใช้ประจำวัน
2.ออมเงิน 3.ลงทุน 4.การศึกษา 5.บริจาค และสุดท้าย 6.ใช้ตามใจ โดยแบ่งออกเป็นสัดส่วนตามนี้ครับ
– 55% , 10%, 10%, 10%, 5%, 10% ตามลำดับ ซึ่งผมได้ปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับตัวผมดังนี้ครับ
– 55%, 15%, 5%, 5%, 5%, 15% =100% แต่ผมนั้นเปลี่ยนจากการบริจาคเป็นสุขภาพ โดยการจัดงเงินแบบนี้ทำให้ผมนั้นเห็นตัวเงินได้ละเอียดยิ่งขึ้นว่าเรามีเงินแต่ละส่วนอยู่เท่าไหร่ ซึ่งจะต่างจากการใช้เงินเป็นก้อนเดียวกันเลยซึ่งจะทำให้เราไม่รู้ว่ามีเงินในส่วนต่างๆ ที่สามารถใช้ได้อยู่เท่าไหร่

หลักการ “ไห 6 ใบ” ได้ทำให้ผมจัดการและบริหารเงินที่ได้ต่อเดือนได้เป็นอย่างดี ผมได้เงินต่อเดือน 6,000 ซึ่งเงินในส่วนนี้ผมต้องใช้จ่ายดูแลตัวเองในทุกวัน บางท่านที่อ่านมาอาจสงสัยว่าเงินที่ผมได้ต่อเดือนรวมค่าอาหารในแต่ละมื้อไหม คำตอบคือผมต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับ อาหารการกินทุกมื้อ สิ่งของต่างๆ รวมทุกค่าอินเทอร์เน็ตต่างๆ ด้วยตัวผมเองทั้งหมดในแต่ละเดือน หลักการ “ไห 6 ใบ” จึงเป็นคำตอบที่ใช่สำหรับผมในตอนนี้ที่ดีที่สุด

ผมมีเงินออมประจำต่อเดือนที่ต้องแยกทันทีหลังได้เงินเดือน จากนั้นผมจะนำไปจัดสรรไว้ในส่วนต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น วิธีการนี้เหมาะกับผู้คนที่ได้รับเป็นเงินก้อน ไม่ว่าจะเป็น ต่อสัปดาห์ หรือ ต่อเดือน ก็สามารถใช้ได้เช่นกัน “ผมอาจลืมบอกไปว่า ตัวผมในตอนนี้เป็นนักเรียนธรรมดาๆ คนหนึ่งที่มีความสนใจด้านการเงินและการลงทุน รวมถึงความรู้ข่าวสารที่เกี่ยวข้อง และสุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่อ่านเรื่องราวการจัดการเงินของผม ขุมทอง (เบนซ์) ในบทความถัดไปจะเกี่ยวกับเรื่องใดขอให้ทุกท่านโปรดตั้งตารอคอยได้เลยครับ”

อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากที่ข่าวถังดับเพลงระเบิดเผยแพร่ออกไป ต่างมีชาวเน็ตเข้ามาคอมเมนต์แสดงความอาลัยต่อการจากไปของ “น้องเบนซ์” กันเป็นอย่างมากอีกด้วย..

ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก @วางแผนเรื่องเงินๆ