เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษก ตร. กล่าวว่า ตามที่ปรากฏตามสื่อออนไลน์ เอกสารการรับโอนข้าราชการท้องถิ่นมาเป็นตำรวจนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอเรียนว่าการรับโอนข้าราชการอื่นซึ่งมิใช่ข้าราชการตำรวจนั้น เป็นไปตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 และ กฎ ก.ตร.ว่าด้วยการโอนข้าราชการอื่นซึ่งมิใช่ข้าราชตำรวจ หรือการโอนพนักงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมาบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการตำรวจ พ.ศ.2566 ซึ่งได้ประกาศเผยแพร่ลงราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 19 พ.ค.2566 เรื่องนี้ ไม่ใช่เป็นเรื่องใหม่ แต่เป็นกรณีที่ได้ออกกฎ ก.ตร. เพื่อให้สอดคล้องและเป็นไปตาม พรบ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 โดยเนื้อความยังคงเดิม ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด ซึ่งอาจจะทำให้ข้าราชการท้องถิ่นเข้าใจผิดว่า ตร. ต้องการรับสมัครให้ข้าราชการท้องถิ่นโอนมาเป็นข้าราชการตำรวจ จึงทำให้มีผู้ยื่นความจำนงมายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวนมากถึง 23 ราย จากทั่วประเทศ รวม 3 รายที่มีรายชื่อปรากฏในเอกสารด้วย ซึ่งการรับโอนบุคคลมาเป็นข้าราชการตำรวจเป็นสิทธิ์ของบุคคลที่สามารถยื่นคำร้องได้ หน่วยจะพิจารณาแล้วเสนอมายัง ตร.

สำหรับแนวทางการแก้ปัญหาการขาดแคลนกำลังพล ตร.ได้วางหลักเกณฑ์ไว้ 3 ระดับ ดังนี้ 1.พิจารณาจากผู้สำเร็จการศึกษาจากสถาบันของตำรวจ เช่น โรงเรียนนายร้อยตำรวจ, โรงเรียนนายสิบตำรวจ 2.ผู้ผ่านการสอบแข่งขัน และ 3.การแต่งตั้งหมุนเวียนกำลังพลในหน่วย หากไม่สามารถดำเนินการทั้ง 3 ข้อได้ จึงจะพิจารณาเรื่องการบรรจุบุคคลภายนอกหรือรับโอนต่อไป

พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษก ตร.

โดยกรณีดังกล่าว ตร. ได้มอบหมายให้สำนักงานกำลังพลมีอำนาจในการพิจารณาคุณสมบัติ หลักเกณฑ์ ของบุคคลที่ยื่นคำขอทั้ง 23 ราย พบว่ายังไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และแนวทางที่ ตร. กำหนด จึงได้ส่งเรื่องคืนหน่วยทั้งหมด ไม่อนุมัติการรับโอนข้าราชการพนักงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และตั้งแต่ 1 ต.ค.65 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีการรับโอนข้าราชการท้องถิ่นมาเป็นตำรวจแต่อย่างใด

โฆษก ตร. กล่าวอีกว่า การรับสมัครบุคคลภายนอก การรับโอนข้าราชการอื่นเข้ามาเป็นตำรวจ ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ยังคงยึดหลักเปิดกว้าง โปร่งใส ตรวจสอบได้ และให้ความสำคัญกับคนในให้มากที่สุด ตามแนวทางที่ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. มอบให้คณะทำงานที่มี พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.หัวหน้าคณะทำงาน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาแนวทางออกมาให้เป็นรูปธรรม เกิดความชัดเจนมากที่สุด จึงขอประชาสัมพันธ์ให้หยุดแชร์ข้อมูลข่าวสาร เอกสารที่ปรากฎข้อมูลชื่อ-สกุล บุคคลภายนอก โดยอาจจะก่อให้เกิดการเข้าใจผิดจะเกิดความเสียหายได้