และอนาคตของสลากดิจิทัลจะยังคงอยู่ เปลี่ยนแปลงหรือคืบหน้าไปในรูปแบบใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงท้ายของ ครม. ของ “บิ๊กตู่” ได้เห็นชอบในหลักการ การกำหนดประเภทและรูปแบบสลากกินแบ่งรัฐบาล คือสลากฯ 6 หลัก (L6) และสลากฯ ตัวเลข 3 หลัก (N3)  

เปลี่ยนตามยุคสมัย

ที่ผ่านมาการให้กำเนิดสลากดิจิทัลก็เพื่อต้องการแก้ปัญหาราคาสลากแพงให้ลดลง และถือเป็นการปรับตัวครั้งใหญ่ในรอบ 80 กว่าปี เพื่อนำพาองค์กรไปสู่ยุคดิจิทัล จากที่ต้องพิมพ์ออกมาเป็นใบและขายต่อกันเป็นทอด ๆ ทำให้สลากราคาแพงเกินจริง เมื่อเทคโนโลยีก้าวหน้าทุกอย่างอยู่บนโลกออนไลน์ โดยเฉพาะเมื่อเกิดโควิดระบาด ต้องล็อกดาวน์ประเทศ การซื้อขายลอตเตอรี่ผ่านออนไลน์ก็เติบโต และได้รับความนิยมขึ้นเรื่อย ๆ  จนทำให้มีนายทุนรายใหญ่มองเห็นโอกาสตั้งตัวขายลอตเตอรี่ผ่านออนไลน์กันเป็นล่ำเป็นสันแข่งขันกันครึกโครม แถมยังได้รับการตอบรับที่ดีจากบรรดาเซียนหวย

แต่ปัญหาที่แฝงมากับแพลตฟอร์มลอตเตอรี่ออนไลน์ คือ…เป็นตัวการเติมเชื้อไฟให้ปัญหาสลากราคาแพงรุนแรงขึ้นกว่าเดิม จากเคยซื้อขายกันไปใบละ 100 บาท พอมีแพลตฟอร์มสลากออนไลน์ ราคาขายส่งยิ่งพุ่งไปเกือบ 100 บาท กว่าจะขายปลีกถึงมือชาวบ้านทะยานไป 105-120 บาท ทำให้เดือดร้อนกันถ้วนหน้า สำนักงานสลากฯ จึงตัดสินใจเปิดตัวสลากดิจิทัล วางขายผ่านโทรศัพท์มือถือ ผ่านแอปเป๋าตัง เพื่อบรรเทาปัญหาหวยแพง

เสียงตอบรับดีเกินคาด

ระบบสลากดิจิทัล ถือเป็นการตัดตอนพ่อค้าคนกลางและการเก็งกำไร เพราะผู้ขายสามารถขายให้ผู้ซื้อโดยตรงในราคาใบละ 80 บาท ขณะที่ผู้ขายจะมีกำไรใบละ 9.60 บาท ดังนั้นสำหรับคนที่ชอบซื้อลอตเตอรี่ออนไลน์ ก็มีทางเลือกซื้อได้ในราคาประหยัดไม่ต้องไปซื้อผ่านแพลตฟอร์มเอกชนที่ขายเกินราคา มีการทดลองทำตลาด ขายงวดแรกวันที่ 16 มิ.ย. 2565 เริ่มต้นที่ 5 ล้านใบ จากนั้นทยอยเพิ่มเรื่อย ๆ จนครบ 1 ปี ก็มีสลากดิจิทัล 18.5 ล้านใบ

เสียงตอบรับออกมาค่อนข้างดี!! สะท้อนได้จากยอดขายที่หมดเกลี้ยงทุกงวด และหมดก่อนหน้าวันออกรางวัลหลายวันด้วย เนื่องจากถูกจริตของนักเสี่ยงโชค สามารถเลือกซื้อได้ง่าย มีระบบแจ้งเตือนรางวัล ขึ้นรางวัลสะดวก โอนเงินเข้าทุกบัญชีธนาคารได้ เพียงไม่กี่ชั่วโมง แถมยังเลือกซื้อเลขชุดได้แบบไม่อั้นในราคาใบละ 80 บาท ถูกกว่าไปซื้อตามท้องตลาดมาก เช่น สลาก 5 ใบ เลขสวย ๆ ดี ๆ มี 1,000 บาท แต่หากตื่นเช้าหน่อย ถ้ารีบกดสลากดิจิทัล จะเสียเงินเพียงแค่ 400 บาทเท่านั้น

กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

แต่ในฟากของคนขายลอตเตอรี่…ต้องบอกว่าตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเพราะการมาของสลากดิจิทัล นอกจากตั้งใจมาขายแข่งลอตเตอรี่ออนไลน์แล้ว ยังส่งผลกระทบต่อผู้ค้ารายย่อย คนเดินเร่ 2-3 เด้งทีเดียว ผลกระทบแรกทำให้คนขายหวยรายย่อย ขายได้ยากขึ้น เพราะสลากดิจิทัลขายเพียง 80 บาท ถูกกว่าคนเดินขายหวยทั่วไปใบละ 100 บาท ทำให้ลูกค้าหันไปซื้อสลากดิจิทัลและบางงวดหากฝนฟ้าไม่เป็นใจ ทำให้หวยเหลือค้างแผง ขาดทุนก็มี

ผลกระทบที่สอง ทำให้คนขายรายย่อยที่มีสิทธิซื้อจองสลากฯ กดหวยได้ยากขึ้น เพราะมีสลากเหลือน้อยลง เนื่องจากในการทำสลากดิจิทัล สำนักงานสลากฯ ได้ดึงโควตาจากสลากรายย่อยออกไป ทำให้สัดส่วนของสลากที่พิมพ์ออกมาให้ผู้ซื้อจองลดน้อยลง จากปกติทั่วไปสลาก 100 ล้านใบ จะมีสำหรับผู้ซื้อจองรายย่อยประมาณ 60-65 ล้านใบ ส่วนที่เหลือเป็นสลากโควตา

สำหรับตัวแทน สมาคม มูลนิธิประมาณ 30-35 ล้านใบ แต่เมื่อมีสลากดิจิทัล สลากซื้อจองรายย่อยลดเหลือแค่ 50 ล้านใบ สลากโควตาเหลือ 30 ล้านใบ และที่เหลือเป็นสลากดิจิทัล และร้านสลาก 80 รวม ๆ กัน 20 ล้านใบ…เมื่อจำนวนสลากใบที่ออกมาให้รายย่อยเหลือน้อยลง หายไปงวดละ 20 ล้านใบ ส่งผลให้สลากในตลาดเริ่มขาดแคลน เพราะคนขายยังมีเท่าเดิม  ส่งผลให้ราคาลอตเตอรี่ในตลาดพ่อค้าคนกลาง ที่นำไปขายต่อให้คนเดินขายหวยรายย่อย ราคาไม่ลดลง ยังขาย 88-92 บาทอยู่ดี

สลากดิจิทัลแก้บางส่วน

สาเหตุที่แก้สลากฯ เกินราคาได้ไม่หมด เพราะสำนักงานสลากฯ ยังไม่ได้แก้ปัญหาไปถึงรากเหง้าที่แท้จริงที่ “คนขายตัวจริงไม่มีโควตา คนมีโควตากลับไม่ได้ขายจริง” ทำให้คนขายจริงต้องไปหาซื้อสลากจากคนมีโควตา หรือยี่ปั๊วคนกลางที่เข้ามาปั่นราคาเก็งกำไร จนทำให้สลากแพงเกินจริง ถามว่า? เรื่องนี้…สำนักงานสลากฯ รู้หรือไม่ ต้องบอกว่ารู้อยู่เต็มอก!! แต่ทำอะไรมากไม่ได้ เพราะวงการนี้ อยู่ยาก!! หยิกเล็บก็เจ็บเนื้อ!!

ตัดกลับมาในภาพปัจจุบันกับคำถามคลาสสิกว่า ครบ 1 ปี สลากดิจิทัล สามารถแก้ปัญหาหวยแพงได้จริงหรือไม่? คำตอบคือ…แก้ได้บางส่วน แต่ไม่สามารถแก้ได้ทั้งหมด จากข้อมูลพบว่าทุกวันนี้ สลากฯที่พิมพ์ออกมางวดละ 100 ล้านใบ มีการขายไม่เกิน 80 บาท อยู่ประมาณ 20 ล้านใบเท่านั้น ซึ่งมาจากโครงการสลากดิจิทัลและร้านสลาก 80 ส่วนที่เหลืออีก 80 ล้านใบที่ซื้อขายเป็นใบ เกือบทั้งหมดขายเกินราคาทั้งนั้น โดยเลขทั่วไปเฉลี่ยใบละ 100 บาท ชุดสองใบตกราคา  210-220 บาท ชุด 5 ใบตกราคา 600-700 บาท เป็นต้น 

หากจำกันได้…ในช่วงที่เริ่มทำสลากดิจิทัล สำนักงานสลากฯได้ออกนโยบายทบทวนผู้ค้าสลากรายย่อย ที่มีสิทธิซื้อจองใหม่ด้วย โดยเปิดลงทะเบียนทั้งคนขายหน้าเก่า และรายใหม่ เพื่อทบทวนรายชื่อผู้ค้ากันใหม่ หลังจากที่ไม่เคยอัปเดตกันเลยตลอด 7-8 ปี นับตั้งแต่ปี 58 เป็นต้นมา ใครไม่ขายจริงก็ตัดออกไป และเปิดทางให้คนขายจริง ๆ ที่ยังไม่เคยได้ซื้อจองให้มีสิทธิเข้ามา

การเปิดลงทะเบียนค่อนข้างเข้มข้น มีคนแห่ลงทะเบียนสมัครถึง 1 ล้านราย ซึ่งมากกว่าโควตาที่มีให้แค่ 1.5-1.8 แสนรายหลายเท่าตัว แต่คนสมัครต้องมาถูกตรวจสอบ คัดกรองอีกเพื่อให้ได้คนที่ใช่จริง ๆ เช่น คนที่มีอาชีพรายได้ประจำอยู่แล้ว อย่าง ม.33 ข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ จะถูกตัดไม่ได้เข้าร่วม และขณะเดียวกันก็ประสานตำรวจท้องที่ ช่วยลงตรวจดูว่าพื้นที่ใด ใครขายจริง ใครขายหลอก ซึ่งต้องบอกว่าเป็นหลักการที่ค่อนข้างดี!!

แต่!! ทำไปทำมา วิธีนี้กลับเจอแรงคัดค้านอย่างหนัก โดยเฉพาะกลุ่มผู้ค้ารายเก่าที่ต้องถูกทบทวนรายชื่อใหม่ ออกมารวมตัวก่อม็อบปิดล้อมสำนักงานสลากฯ เพื่อไม่ให้ตัดโควตา สุดท้ายสำนักงานสลากฯ ทนแรงต้านไม่ไหว!! ต้องให้ผู้ซื้อรายเก่ากว่าแสนคน ได้สิทธิอัตโนมัติต่อไป ขณะที่เกณฑ์ที่ใช้คัดกรองคนสมัครใหม่กลับมาปรับเปลี่ยนกลางคัน โดยเปลี่ยนให้คนที่มีสิทธิบัตรคนจน มีโอกาสได้รับสิทธิก่อนซะอย่างงั้น!! ถือว่า…แปลก เพราะเกณฑ์บัตรคนจน ก็มีช่องโหว่เยอะ คนจนไม่จริง คนจนกำมะลอก็ได้สิทธิเข้ามา ที่สำคัญคนมีบัตรคนจน ใช่ว่าจะเป็นคนที่มีอาชีพขายสลากตัวจริงซะเมื่อไหร่?  ยิ่งไปกว่านั้น…การขายสลาก ก็ต้องมีเงินทุนหมุนเวียนงวดละ 7-8 หมื่นบาท ขายได้กำไรเดือนละ 9,600 บาท เรียกว่าถ้ามีเงินทุน มีกำไรขนาดนี้ ก็ไม่น่าจะเข้าข่ายเป็นบัตรคนจนที่มีเกณฑ์บังคับห้ามมีรายได้เกินปีละ 1 แสนบาทกันแล้ว

การอ่อนข้อ!! และใช้กติกาคัดเลือกที่ไม่เหมาะสม…ส่งผลให้ปัญหา คนขายตัวจริงไม่มีโควตา คนมีโควตากลับไม่ได้ขายจริง ยังคงมีอยู่ต่อไป และทำให้ทุกวันนี้สภาพปัญหาการเก็งกำไรลอตเตอรี่ยังคงมีอยู่

ขณะที่อนาคตของ “สลากดิจิทัล” แม้เชื่อได้ว่ายังเดินหน้าต่อไปได้ เพราะสลากดิจิทัลได้เข้าไปอยู่ในดีเอ็นเอของนักเสี่ยงโชคไปหมดแล้ว หากยกเลิกกลางคัน อาจโดนโวยกันได้!! และตามโรดแม็ป ของสำนักงานสลากฯ ยังมีแผนเพิ่มสลากดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง โดยในงวด 31 ก.ค.นี้ มีแผนจะเพิ่มสลากดิจิทัลเป็น 20 ล้านใบ

และภายในสิ้นปีนี้ ตั้งเป้าหมายจะเพิ่ม 25-30 ล้านใบ ปี 67 เพิ่มเป็น 40 ล้านใบ และปี 68 เพิ่มเป็น 50 ล้านใบ และยังเพิ่มบริการใหม่ อำนวยความสะดวกให้กับคนซื้อคนขาย เช่น ฟีเจอร์การขายสลากดิจิทัลสำหรับคนที่บกพร่องทางสายตา หรือการเปิดให้ขายแบบเฟซ ทู เฟซ ให้คนเดินขายสลากดิจิทัลผ่านไอแพด และสแกน
คิวอาร์โค้ดได้ เป็นต้น

แต่การเพิ่มสลากดิจิทัลนี้ ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขว่า กฎหมายการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ของสำนักงานสลากฯ แอล 6 ต้องผ่านความเห็นชอบจาก ครม. ก่อน เพราะกฎหมายแอล 6 จะเป็นกุญแจหลักที่ช่วยเพิ่มจำนวนสลากดิจิทัลให้มีมากขึ้นได้ โดยลอตเตอรี่ 6 หรือแอล 6 จะเป็นสลากที่มีออกมาได้โดยไม่ต้องพิมพ์เป็นการช่วยรองรับสลากดิจิทัลแบบเต็ม ๆ หากกฎหมายไม่ผ่านสำนักงานสลากฯ ก็จะไม่มีสลากมาเพิ่ม เพราะไม่ต้องการดึงสลากมาจากโควตารายย่อยอีก เพราะทำให้คนเดินขายได้รับความเดือดร้อน

สลากฯ 6 หลักตัวชี้ชะตา

ดังนั้น กฎหมายแอล 6 จะเป็นตัวชี้ชะตาสลากดิจิทัลว่าจะไปต่อ เพิ่มจำนวนได้มากอีกแค่ไหน ซึ่งขณะนี้กฎหมายสลากแอล 6 และสลากเลข 3 หลัก หรือเอ็น 3 อยู่ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการ กฤษฎีกา ตรวจแก้ไขร่างประกาศของสำนักงานสลากฯ หากผ่านไปได้ ก็รอให้ ครม. พิจารณาเพื่อทราบเท่านั้น สำนักงานสลากฯ ก็สามารถเดินหน้าได้ทันที

ถ้ากฎหมายแอล 6 ผ่านออกมาได้จริง สิ่งที่ตามต่อจากนี้ ก็คือ สำนักงานสลากฯ จะเพิ่มสลากดิจิทัลเข้ามาได้ทันที โดยไม่ต้องไปรบกวนสลากใบ ซึ่งเท่ากับสลากที่มีงวด 100 ล้านใบ หากมีการเพิ่มสลากดิจิทัลเข้ามาก็จะทำให้สลากที่มีขายทั้งแบบใบ และดิจิทัลอาจมีมากเป็นงวดละ 110-120 ล้านใบได้ พร้อมกับจะเปิดรับสมัครคนขายหวยดิจิทัลชุดใหม่ด้วย เพราะขณะนี้โควตาเดิม 7 หมื่นคนก็เรียกมาทำสัญญาใกล้ครบแล้วเหลือเพียง 2 หมื่นคนเท่านั้น 

รอ ครม. บิ๊กตู่เคาะอีกที

อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ก็ต้องลุ้นหนัก เพราะตอนนี้อยู่ช่วงปลายรัฐบาลรักษาการบิ๊กตู่ หากยืดเยื้อเลยผ่านไปถึงรัฐบาลชุดใหม่ อาจต้องแท้งไม่ได้คลอด และเสียเวลารื้อกันใหม่ก็เป็นได้ ซึ่งเรื่องนี้…เชื่อว่าจะรู้คำตอบภายในเดือน ก.ค. นี้

หากจะให้คะแนนโครงการสลากดิจิทัลว่าแก้ปัญหาสลากแพงได้กี่คะแนน ก็ต้องบอกหากคะแนนเต็ม 100 ก็ได้ประมาณ 20 คะแนน เพราะทุกวันนี้มีสลาก 80 บาทอยู่แค่ 20 ล้านใบ ที่เหลืออีก 80 ล้านใบยังแพงอยู่ แต่การได้ 20 คะแนน ไม่ได้แปลว่าสอบตก เป็นเพียงคะแนนที่เริ่มสะสม และเป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ปัญหาสลากเท่านั้น เพราะหนทางในการแก้ปัญหาสลากแพงยังอีกยาวไกล ไม่ได้ขีดเส้นตัดจบ ณ วันนี้เพียงอย่างเดียว

อย่าลืมว่า…วงการมาเฟียอย่างลอตเตอรี่ การจะแก้ไขต้องอาศัยเวลา และความจริงใจ  โดยใช้วิธีแก้ปัญหาในหลายมิติควบคู่กัน ดังนั้นสลากดิจิทัล จึงเป็นแค่จิ๊กซอว์ตัวหนึ่งที่ช่วยให้เห็นว่าสลาก 80 บาทยังมีอยู่จริงเท่านั้น

หลังจากนี้…จำเป็นต้องให้รัฐบาล และสำนักงานสลากฯ ช่วยกันต่อจิ๊กซอว์ตัวอื่นเพิ่มเติม เพื่อให้ภาพการแก้ปัญหาสลากเกินราคาเสร็จสิ้นอย่างสมบูรณ์

เล็งเพิ่มสลากดิจิทัล

“ลวรณ แสงสนิท” ประธานกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล บอกว่า ตลอดเวลา 1 ปีของการทำสลากดิจิทัล มียอดขายสลากใบ 80 บาท ไปได้แล้ว 356 ล้านใบ ช่วยให้ประชาชนประหยัดค่าใช้จ่ายไป 7,120 ล้านบาท โดยคิดจากยอดขายในตลาดเฉลี่ยใบละ 100 บาท แต่ช่วยให้ประชาชนซื้อได้ 80 บาท ซึ่งเท่ากับว่าประหยัดไปใบละ 20 บาท นอกจากนี้ยังทำให้ภาพรวมของราคาสลากใบในตลาดปรับลดลงมาอย่างมีนัยยะสำคัญ

ส่วนแผนสลากดิจิทัล ปีที่ 2 นั้นตั้งเป้าหมายว่า หากกฎหมายสลากแอล 6 และเอ็น 3 ผ่าน ครม. จะเพิ่มสลากดิจิทัลให้เป็น 30 ล้านใบในสิ้นปีนี้ และเพิ่มเป็น 40 ล้านใบในปี 67 และเป็น 50 ล้านไปในปี 68 โดยในงวด 31 ก.ค. 66 จะมีการเพิ่มสลากดิจิทัลถึง 20 ล้านใบ แต่ก็ต้องดูสถานการณ์ของตลาดคนซื้อ คนขายว่ามีความพร้อมแค่ไหนด้วยเช่นกัน

“สลากดิจิทัล ที่เพิ่มขึ้นจะมาจาก 3 ส่วน ส่วนแรกคือเปิดให้ผู้ค้ารายย่อยเข้ามาสมัครขายสลากดิจิทัลพร้อมการันตีโควตา งวดละ 5 เล่ม ส่วนที่สองคือเปิดให้สมาคม มูลนิธิ องค์กรที่ได้รับโควตาถาวรเข้ามาขายผ่านช่องทางดิจิทัล และสุดท้าย คือการเพิ่มจากสลากแอล 6”

ขณะเดียวกันในปีนี้ จะมีการเปิดให้บริการฟีเจอร์ใหม่ คิวอาร์ขายสลากดิจิทัลเพื่อเพิ่มช่องทางการซื้อ-ขายรูปแบบใหม่ให้แก่ผู้ซื้อและผู้ค้าสลากดิจิทัล โดยสามารถซื้อในรูปแบบผ่านแอปถุงเงินจากผู้ค้าสลากดิจิทัลโดยตรง โดยผู้ซื้อสามารถเลือกสลากฯ ที่ต้องการจากร้านค้า และสามารถใช้แอปเป๋าตัง สแกนเพื่อซื้อสลากและชำระเงินได้ทันที รวมถึงจะเพิ่มฟีเจอร์การขายด้วยเสียง เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้พิการทางสายตาด้วย เชื่อว่าเมื่อสลากดิจิทัลจำนวนมากขึ้น ผู้ขายนำสลากดิจิทัลไปเปิดแผงขายเองได้ผ่านสมาร์ทโฟนหรือแท็บเลตและขายแก่ผู้ซื้อโดยตรงได้ โดยไม่ต้องรอพึ่งขายผ่านระบบแอปเป๋าตังเพียงอย่างเดียวอีกด้วย.

ทีมเศรษฐกิจ