เมื่อวันที่ 5 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ เจ้าของเพจเฟซบุ๊ก “@อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์” ออกโพสต์ภาพ พร้อมข้อความระบุว่า “NASA เตรียมการรับมือพายุสุริยะ 2025 อย่างไรบ้าง”

เช้านี้ให้สัมภาษณ์โฟนอินรายการข่าว เกี่ยวกับกระแสความกังวลเรื่องที่บอกว่า นาซากำลังจับตา “พายุสุริยะ” ว่าจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยจะถึงจุดสูงสุดในปี ค.ศ. 2025 และคาดว่ามีโอกาสเกิน 10 เปอร์เซ็นต์ ที่จะทำให้ระบบอินเทอร์เน็ตล่มยาวนานเป็นเดือนๆ!?

ซึ่งวันก่อน ก็ได้โพสต์อธิบายเรื่องนี้ไปบ้างแล้ว ว่าเป็นการตีความกันไปเอง ทาง NASA ยังไม่เคยมีออกประกาศเตือนอะไรเกี่ยวกับเรื่องพายุสุริยะรอบนี้ และะสิ่งที่นาซาและหน่วยงานอื่นๆ พยายามทำ ก็คือหาวิธี “เตือนภัย” ให้ทันท่วงที ก่อนที่พายุสุริยะจะมาถึงโลก จะได้ป้องกันดาวเทียมและระบบไฟฟ้าต่างๆ ได้ทันท่วงที (อ่านโพสต์เก่า ที่ https://www.facebook.com/OhISeebyAjarnJess/posts/pfbid0RzchSrjYJpQWRpFc86LZUtEaUJxV9AepBV3S7MRTtvpb5QtdFADSzqPhqF6DL6V4l)

วันนี้เลยขอเอาข้อมูลจากข่าวของ usatoday.com ที่คนเอาไปแชร์อ้างอิงกันว่า จะเกิดวันสิ้นโลก “Internet apocalypse” ขึ้นนั้น มาสรุปให้ฟังอีกทีนึงครับ จะได้สบายใจกันมากขึ้น

  • พายุสุริยะ (solar storm) เป็นคำที่ไม่ใช่ศัพท์ทางการทางวิทยาศาสตร์ แต่คำที่ผู้คนเรียกกันเอง ใช้เมื่อมีอนุภาคและพลังงาน เช่น ลมสุริยะ (solar wind) เปลวสุริยะ (solar flare) และ ก้อนมวลสารจากโคโรนา หรือ CME (coronal mass ejection) ถูกปลดปล่อยจากดวงอาทิตย์อย่างรุนแรง จนอาจเกิดปัญหาขึ้นกับระบบดาวเทียมที่โคจรรอบโลกได้
  • ลมสุริยะ เกิดขึ้นจากการแผ่กระจายตัวออก ของอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้า จากโคโรนา (corona) ซึ่งเป็นพลาสมาชนิดหนึ่งที่อยู่บนชั้นบรรยากาศด้านนอกสุดของดวงอาทิตย์ และอนุภาคเหล่านี้เคลื่อนที่เร็วมาก ถึง 1-2 ล้านไมล์ต่อชั่วโมง (ดูในรูปประกอบ จะเห็นว่า ในขณะที่แสงอาทิตย์เดินทางถึงโลกในเวลา 8 นาที ลมสุริยะจะใช้เวลา 4 วัน) และส่งผลกระทบต่อชั้นบรรยากาศของโลกเราได้ รวมไปถึง อนุภาคของโคโรนาและการแผ่รังสีแม่เหล็กไฟฟ้า จากเปลวสุริยะและ CME ที่ปลดปล่อยจากดวงอาทิตย์ ที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดผลกระทบที่รุนแรงเปรียบได้กับมี “พายุ” จากดวงอาทิตย์ พุ่งเข้าใส่โลกของเรา
  • ซึ่งเป็นที่ทราบกันว่าปรากฏการณ์ CME นั้นจะเกิดมากขึ้นเรื่อยๆ จนมีค่าสูงสุดในทุก 11 ปี หรือก็คือคาดการณ์กันว่าจะสูงสุดในปี ค.ศ. 2025 นี้ และทำให้ดวงอาทิตย์มีกิจกรรมการทำงานที่เกี่ยวกับแม่เหล็กไฟฟ้าสูงสุดในช่วงนั้น เรียกว่า เกิด “solar maxiumum โซลาร์แม็กซิมั่ม” ขึ้น และโลกก็มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นที่จะได้รับผลกระทบตามไปด้วย โดยอาจจะเกิด “พายุแม่เหล็กโลก (geometric storm)” ขึ้น ซึ่งส่งผลรบกวนบดบังสัญญาณของดาวเทียม การติดต่อสื่อสารด้วยวิทยุ ระบบอินเทอร์เน็ต และระบบสายส่งไฟฟ้า จนบางคนกลัวว่ามันจะเป็นการล่มสลายทางเทคโนโลยี
  • แต่จริงๆ แล้ว ความน่าจะเป็นที่พายุสุริยะจะถึงขนาดสร้างความเสียหายกับระบบอินเทอร์เน็ตได้แบบนั้น ยังต่ำมาก โดยจากผลการศึกษาเมื่อปี ค.ศ. 2021 ของ Sangeetha Abdu Jyothi ผู้เชี้ยวชาญด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ จากมหาวิทยาลัย the University of California, Irvine ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้สรุปว่า ใน 10 ปีข้างหน้านี้ มีโอกาศอยู่เพียง 1.6% ถึง 12% ที่ระบบอินเทอร์เน็ตจะถูกรวบกวนเป็นเวลานานได้ อันเนื่องจากพายุสุริยะ .. แต่ถ้าเกิดขึ้นจริง ผลการศึกษาได้ประเมินว่า จะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจของสหรัฐ ซึ่งมีความเสี่ยงที่อินเทอร์เน็ตจะล่มได้มากกว่าเอเชีย อยู่สูงถึง 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่อวัน
  • องค์การนาซา ได้เตรียมการรับมือกับเรื่อง พายุสุริยะ มาโดยตลอด ด้วยการจัดทำโครงการต่างๆ ด้าน Heliophysics (เฮลิโอฟิสิกส์ คือ ฟิสิกส์ที่เกี่ยวกับดวงอาทิตย์) เพื่อศึกษาและพยากรณ์ สภาพภูมิอวกาศ (space weather) ด้วยการใช้ยานอวกาศหลากหลายลำที่คอยติดตามการเกิดกิจกรรมของดวงอาทิตย์ขึ้น
  • ล่าสุด เมื่อปีที่แล้ว นาซาได้ส่งจรวดปล่อยยาน Parker Solar Probe ที่จะมีส่วนช่วยเป็นอย่างมากในการป้องกันไม่เกิดหายนะอินเทอร์เน็ตอย่างที่กังวลกัน โดยในวันที่ 12 สิงหาคม 2018 นาซาได้ส่งจรวด Alliance Delta IV Heavy ขึ้นจากท่าปล่อยจรวด Complex 37 ที่แหลมคานาเวอรัล ซึ่งในจรวดนี้มียาน Parker Solar Probe ที่จะมุ่งหน้าไปยังดวงอาทิตย์ และในปี 2021 ก็ได้เข้าใกล้พื้นผิวของดวงอาทิตย์มากที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยสามารถเข้าไปถึงโคโรนา ที่อยู่ในบรรยากาศชั้นบนของดวงอาทิตย์และมีกระแสลมสุริยะเกิดขึ้น
  • ที่จุดนี้เอง แม้ว่าจะอยู่ในสภาพร้อนจัดรุนแรงก็ตาม ที่ยานโพรบ Parker Solar Probe ได้เก็บข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับดวงอาทิตย์ และทำให้ได้องค์ความรู้ใหม่ว่าทำไมอนุภาคของลมสุริยะถึงได้พุ่งเร็วระดับซุปเปอร์โซนิก (เร็วกว่าเสียง) และส่งผลกระทบอย่างมากต่อสภาพภูมิอวกาศได้ ดังเช่น ทำให้ทราบว่า ลมสุริยะนั้น ได้รับการเติมพลังจากพลังงานในรูปของ เจ็ตขนาดเล็ก (เรียกว่า jetlet) ที่บริเวณฐานของโคโรนา ทำให้ลมสุริยะถูกเร่งความเร็วและร้อนขึ้นได้ ซึ่งเป็นหนึ่งในก้าวย่างที่สำคัญของการไขปริศนาเกี่ยวกับฟิสิกส์ของดวงอาทิตย์
  • ยิ่งไปกว่านั้น นาซายังได้จัดทำแบบจำลองทางคอมพิวเตอร์ขึ้นมาใหม่ ซึ่งเป็นการรวมกันระหว่าง ปัญญาประดิษฐ์ และข้อมูลดาวเทียม ที่จะสามารถส่งสัญญาณเตือนภัยให้รู้ถึงสภาพภูมิอวกาศที่เลวร้ายได้ คล้ายกับไซเรนแจ้งเตือนพายุ มันจะทำนายได้ว่า พายุสุริยะจะโจมตีโลกที่บริเวณใด ในเวลาเตือนภัยล่วงหน้า 30 นาที ซึ่งมากเพียงพอสำหรับการเตรียมและป้องกันความเสียหาย ที่อาจเกิดกับระบบสายส่งไฟฟ้า และโครงสร้างพื้นฐานสำคัญอื่นๆ
  • ทีมวิจัยนานาชาติ จากห้องปฏิบัติการ the Frontier Development Lab ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนและหน่วยงานรัฐบาล อย่าง นาซา, สำนักงานสำรวจธรณีวิทยาแห่งสหรัฐอเมริกา และกระทรวงพลังงาน สหรัฐ ได้ร่วมกันใช้ เอไอ ในการหาความเชื่อมโยงระหว่างลมสุริยะ กับ การรบกวนสนามแม่เหล็กโลก ซึ่งด้วยวิธี “deep learning” ของเอไอ จะทำให้นักวิจัยสามารถฝึกเครื่องคอมพิวเตอร์ให้เรียนรู้ถึงรูปแบบความเชื่อมโยงได้ จากเหตุการณ์ครั้งก่อนๆ ที่เคยเกิดขึ้น และนาซา หวังว่า วันหนึ่งเราจะสามารถแจ้งเตือนภัยพายุสุริยะให้กับระบบไฟฟ้าและระบบดาวเทียมทั่วโลก ได้อย่างทันท่วงที

ข้อมูลจาก https://www.usatoday.com/…/nasa-internet…/70361827007/ ภาพประกอบจาก https://www.nasa.gov/mis…/sunearth/spaceweather/index.html”

ขอบคุณข้อมูล – ภาพ เพจ “อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์”