เมื่อวันที่ 14 ก.ค. นายประพันธุ์ คูณมี ส.ว. กล่าวถึงกรณีที่ประชุมรัฐสภาจะมีการโหวตนายกรัฐมนตรี รอบ 2 และความเป็นไปได้ที่จะเสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอีกครั้งว่า กรณีชื่อของนายพิธานั้นจบแล้ว เพราะนายพิธานั้นได้เสียงเห็นชอบเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ถึงกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกของ 2 สภา ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 272  จึงทำให้ญัตติดังกล่าว เป็นอันตกไป ดังนั้นกรณีจะเสนอชื่อนายพิธา ให้โหวตอีกครั้งนั้น ตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภาถือว่าทำไม่ได้ เพราะญัตติตกไป ถือว่าจบแล้ว

นายประพันธุ์ กล่าวด้วยว่า ข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ข้อ 41 กำหนดว่าญัตติใดที่ตกไปแล้ว ห้ามนำญัตติที่มีหลักการเดียวกันเสนออีกในสมัยประชุมเดียวกัน เว้นแต่ญัตติที่ไม่มีการลงมติหรือประธานสภาอนุญาต เมื่อเห็นว่าเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นหากจะนำญัตติเสนอชื่อนายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรี กลับมาอีกในสมัยประชุมปัจจุบัน ต้องมีเหตุเปลี่ยนแปลงตาม มาตรา 272 วรรคสองเท่านั้น

นายประพันธุ์ กล่าวต่อว่า โดยมาตรา 272 วรรคสอง ระบุว่า ตามหลักการหากโหวตครั้งแรก ไม่สามารถได้บุคคลเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ว่าด้วยเหตุใด ประธานรัฐสภาไม่มีอำนาจที่จะเปิดให้มีการลงคะแนนใหม่เองได้ ต้องให้สมาชิกรัฐสภารวมกันไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง เข้าชื่อเสนอต่อประธานรัฐสภาตาม มาตรา 272 วรรคสอง เท่านั้น และต้องได้เสียงเห็นชอบไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของสมาชิกสองสภา หรือ 500 เสียง จึงจะทำให้นายพิธา ในฐานะผู้ที่เคยได้รับการเสนอชื่อให้โหวตเป็นนายกรัฐมนตรี กลับมาเสนอได้อีก ดังนั้นหากจะมีการดำเนินการใดๆ นอกจากแนวทางนี้ ย่อมไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ

“เมื่อรัฐธรรมนูญ ได้บัญญัติไว้เช่นนี้แล้ว จึงไม่เปิดช่องทางอื่นให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ถูกเสนอชื่อกลับมาให้รัฐสภาโหวตโดยง่าย หรือโหวตเลือกนายพิธา ซ้ำซากไปเรื่อยๆ เหมือนนักกฎหมายหรือพวกกุนซือสมองทื่อเสนอให้โหวตไปเรื่อยๆ จนสิ้นวาระของวุฒิสภา ด้วยเหตุนี้พรรคก้าวไกลและนายพิธา ควรให้การศึกษาพวกด้อมส้มให้โปรดเข้าใจตามนี้ด้วย” นายประพันธุ์ กล่าว

นายประพันธุ์ กล่าวต่อว่า หากในระหว่างนี้ ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้นายพิธา หยุดปฏิบัติหน้าที่ ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะเสนอชื่อนายพิธา ให้รัฐสภาพิจารณา ดังนั้นจึงไม่ควรไปปลุกให้ความหวังพวกด้อมส้มแบบผิดๆ ควรยอมรับและเคารพมติโดยชอบของรัฐสภา หยุดปลุกมวลชนเพื่อสร้างปัญหาให้บ้านเมือง เพราะความดื้อรั้น มีแต่เกิดหายนะกับตนเอง.