สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากนครลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 15 ก.ค. ว่า สำนักงานอุตุนิยมวิทยาแห่งชาติของสหรัฐ (เอ็นดับเบิลยูเอส) รายงานว่า วันศุกร์ที่ผ่านมา เป็นวันที่ 15 ติดต่อกัน ซึ่งอุณหภูมิในเมืองฟีนิกซ์ เมืองเอกของรัฐแอริโซนา สูงเกิน 43 องศาเซลเซียส


ขณะที่อุณหภูมิของหุบเขามรณะ ซึ่งเป็นชื่อของทะเลทราย ตั้งอยู่ระหว่างรัฐแคลิฟอร์เนียกับรัฐเนวาดา ทางตะวันตกของสหรัฐ และเป็นที่รู้จักจากการเป็นหนึ่งในบริเวณร้อนที่สุดแห่งหนึ่งของโลก อาจเพิ่มสูงถึง 54 องศาเซลเซียส นอกจากนี้ สภาพอากาศที่ร้อนจัด ส่งผลให้พื้นที่หลายแห่งของรัฐแคลิฟอร์เนีย เผชิญกับไฟป่าด้วย


ด้านประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ กล่าวว่า ชาวอเมริกันมากกว่า 100 ล้านคน ในภาคตะวันตกและภาคใต้ของประเทศ กำลังได้รับผลกระทบจากคลื่นความร้อน ซึ่งเกิดบ่อยครั้งขึ้น รุนแรงขึ้น และมีระยะเวลานานขึ้น ซึ่งเป็นผลกระทบโดยตรงจากภาวะความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศโลก ซึ่งทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง อยู่ระหว่างการจัดทำ “แผนยุทธศาสตร์อากาศร้อนแห่งชาติ”

ประชาชนต่อแถวซื้อไอศกรีม ท่ามกลางสภาพอากาศร้อนจัด ที่ร้านแห่งหนึ่ง ในกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา


อนึ่ง องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (ดับเบิลยูเอ็มโอ) รายงานว่า อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงเป็นประวัติการณ์ 17.24 องศาเซลเซียส เมื่อวันที่ 7 ก.ค. ที่ผ่านมา ทำลายสถิติ 16.94 องศาเซลเซียส ซึ่งวัดได้เมื่อวันที่ 16 ส.ค. 2559


ทั้งนี้ สถิติอุณหภูมิร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ เป็นผลจากปรากฏการณ์เอลนีโญ ที่เกิดขึ้นแล้วเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี และเอ็นดับเบิลยูโอคาดการณ์ระยะเวลาของเอลนีโญครั้งนี้ จะดำเนินไปจนถึงปี 2567


สำหรับอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเมื่อเดือนที่แล้ว สูงกว่าค่าเฉลี่ยระหว่างปี 2534-2563 ประมาณ 0.5 องศาเซลเซียส ตามรายงานของดับเบิลยูเอ็มโอ โดยอุณหภูมิในภูมิภาคทางตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปยุโรป เพิ่มสูงขึ้นมากที่สุด


นอกจากนี้ อุณหภูมิของผิวน้ำทะเลโลก เมื่อเดือน พ.ค. และ มิ.ย. ที่ผ่านมา เพิ่มสูงเป็นประวัติการณ์เช่นกัน ซึ่งดับเบิลยูเอ็มโอเตือนว่า จะส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของสัตว์ทะเล และสภาพอากาศรอบบริเวณ.

เครดิตภาพ : AFP