ถนนสายมิตรภาพ ที่มีจุดเริ่มต้นจากคำว่า “เพื่อน” แล้วค่อยๆ พากันกอดคอก้าวเดินมาจนถึงวันขึ้นแท่นยึดตำแหน่ง “เพื่อนสนิท” ได้นั้น ใช่ว่าจะมีเพียงระยะเวลาหรือระยะทางเป็นตัวชี้วัดเท่านั้น ลองมาฟัง “คู่เพื่อนซี้” วัย 39 ปี อย่าง “ต๊ะ-ปารณีย์ พ่วงเงิน” เจ้าของแบรนด์เครื่องหอมกลิ่น (Klin) และ “ไอซ์-ศุภักษร จงศิริ” เจ้าของธุรกิจร้านอาหารชื่อดังอย่าง ศรณ์ และล่าสุดกับร้าน Umi sushi ที่มาช่วยกันเล่าถึงความสัมพันธ์และเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นระหว่างทางซึ่งส่งผลให้ถนนสายมิตรภาพทอดยาวมานานถึง 25 ปี
เจ้าของแบรนด์เครื่องหอมน้องใหม่ที่กำลังมาแรง ต๊ะ-ปารณีย์ ดีกรีปริญญาตรีจากยูนิเวอร์ซิตี้ ออฟ ควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย และปริญญาโทสาขาเอ็กซิบิชั่น ดีไซน์ จาก Fashion Institute of Technology นิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา เล่าถึงจุดเริ่มต้นของมิตรภาพอันงดงามระหว่างเธอและเพื่อนคนนี้ว่า เราเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เรียนที่โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ตั้งแต่อายุ 12-13 ปี ตัวเองชอบเล่นกีฬาแบบเด็กผู้ชาย จึงมีเพื่อนสนิทเป็นผู้ชายมากกว่าผู้หญิง อีกทั้งที่บ้านไม่ได้ห้ามเพื่อนผู้ชายมาเล่นที่บ้าน เวลาเลิกเรียนเพื่อนๆ จึงมารวมตัวกันเล่นโรลเลอร์เบลดที่บ้านกันเป็นประจำ เพิ่งมาสนิทกับไอซ์ตอนช่วงมัธยมปลาย เพราะเพื่อนคนอื่นเตรียมตัวสอบเอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย แต่ตัวเองเตรียมตัวไปเรียนต่อต่างประเทศ เลยมีเวลาว่างมากกว่าคนอื่นทำให้เริ่มสนิทกัน
ในมุมของเพื่อน ไอซ์-ศุภักษร เจ้าของปริญญาตรีจาก Northeastern University Boston School of Science และปริญญาโท สาขานวัตกรรมจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เล่าย้อนไปถึงจุดเริ่มต้นของความผูกพันว่า เพราะต๊ะไม่เหมือนเด็กผู้หญิง เลยสนิทกันง่าย บวกกับต๊ะเป็นแฟนของเพื่อน ทำให้มีโอกาสได้ไปเที่ยวเล่นที่บ้านต๊ะบ่อยๆ ครั้นเมื่อศึกษาในระดับมหาลัยทั้งตัวเองและต๊ะไปเรียนที่ต่างประเทศ พอปิดเทอมกลับมาเมืองไทย เพื่อนที่นี่ก็จะรวมตัวเที่ยวเล่นด้วยกันแบบไม่ห่างจนกว่าเราจะกลับ ก็ร้องห่มร้องไห้ที่สนามบินเป็นอย่างนี้ทุกครั้ง
ทั้งคู่ช่วยกันเล่าความประทับใจของกันและกันว่า “ต๊ะมีเพื่อนสนิทอยู่ประมาณ 4 คนและไอซ์เป็นเพื่อนผู้ชายที่สนิทคนเดียว เรานิสัยเหมือนกันหลายอย่างอย่าง เช่น พูดน้อย ไม่แสดงความรัก และมีโลกส่วนตัวพอประมาณ ไอซ์เป็นคนมีน้ำใจและจริงใจ ถ้ามีอะไรที่จะตักเตือนกันก็จะพูดตรงๆ ไม่ค่อยต้องเก็บไปคิดมากทีหลัง ถึงนานๆ จะเจอกันทีก็ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกว่าต้องคอยรักษาน้ำใจกันมากเป็นพิเศษ ไม่ต้องกังวลว่าต้องคอยติดต่อไปหรือต้องคอยหมั่นใส่ใจ เพราะกลัวว่าจะรักกันน้อยลง เพราะมิตรภาพของเรามาไกลเกินจุดนั้นแล้ว” ปารณีย์กล่าว
ฟาก “หนุ่มไอซ์” ก็เอ่ยถึงความประทับใจที่มีต่อเพื่อนซี้ว่า ตัวเองและต๊ะมีตรรกะคล้ายๆ กัน ทำให้ตลอดระยะเวลา 25 ปีที่รู้จักและคบหากันมา ไม่เคยมีเรื่องให้ต้องบาดหมางกันหรือทะเลาะกันเลย “ผมรักในความแมนของเขานะ คือต๊ะเป็นคนที่เราฝากเพื่อนรักที่สุดให้เป็นสามีของเธอได้ ขณะเดียวกันหากมีอะไรเราทั้งสองคนก็จะเลือกใช้วีธีคุยตรงๆ ไม่อ้อมค้อมไม่ด่าลับหลัง เลยไม่เคยทะเลาะกัน จริงๆ ผมไม่มีเพื่อนผู้หญิงเลย มีต๊ะเนี่ยแหละที่คุยได้ นับได้เลยว่าเป็นเพื่อนผู้หญิงที่สนิทสุด” เชฟและเจ้าของธุรกิจร้านอาหาร กล่าว
แต่สำหรับในด้านการทำงานนั้น ทั้งคู่ก็เลือกที่จะเติบโตไปในเส้นทางของตัวเอง โดยต๊ะขอมุ่งสู่ธุรกิจแบรนด์เครื่องหอมตามความชอบส่วนไอซ์ลุยธุรกิจร้านอาหารตามความถนัด ต๊ะเล่าว่าเพราะเป็นคนชอบเทียนหอมและเครื่องหอมต่างๆ อยู่แล้ว จึงเริ่มเข้าสู่ตลาดเครื่องหอมเมื่อช่วงเดือนธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา การทำงานแบบลงมือทำด้วยตัวเองในทุกขั้นตอนตั้งแต่การเทเทียน การผสมน้ำหอม ออกแบบ CI แพ็คสินค้า ตลอดจนคุยกับลูกค้าเอง เพราะเราจะสามารถเรียนรู้ปัญหาได้ดีและสามารถสอนทีมงานต่อไปได้ว่าถ้าเจอปัญหานี้ควรจะแก้ไขอย่างไร สิ่งไหนที่ต้องระวังในกระบวนการต่างๆ
“หลักทำงานอีกอย่างที่ต๊ะให้ความสำคัญมากคือการโฟกัสที่แบรนด์ของตัวเอง ข้อดีและข้อเสียของตัวเอง ปัจจุบันมีแบรนด์เทียนหอมเยอะมาก ในตลาดถ้าเรามัวแต่ให้ความสนใจกับแบรนด์ต่างๆ รอบตัวมากเกินไปต๊ะเชื่อว่าเราจะไม่สามารถแสดงเอกลักษณ์ของแบรนด์ Klin ไว้ได้ ดังนั้นการโฟกัสที่ตัวเองจึงสำคัญมาก” ต๊ะกล่าว
ส่วนไอซ์เล่าว่า ชอบทำอาหารมาตั้งแต่เด็ก เพราะที่บ้านเปิดร้านอาหารอยู่แล้วจนกระทั่งเรียนจบจึงมารับช่วงต่อ รวมถึงเปิดร้านบ้านไอซ์เพิ่มอีกหลายแห่ง และเป็นเชฟเปิดร้านอาหารของตัวเองอย่าง ศรณ์ และล่าสุดกับร้าน Umi sushi โดยหลักในการทำงานเน้นความซื่อสัตย์ทั้งกับตัวเองและลูกค้า หมายถึงทำทุกอย่างให้ดีที่สุดโดยไม่โกหกตัวเองว่าดีแล้ว และต้องไม่โกหกลูกค้า ให้คิดเสมอว่าลูกค้าฉลาดกว่าเรา งานที่เราทำคือทำให้คนอิ่มมีความสุข อย่าใช้ทางลัดที่ไม่ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นกลับบ้านนอนไม่หลับ
นอกเหนือจากความจริงใจ ทั้งเธอและเขาก็ไม่ลืมที่จะเติมเต็ม “มิตรภาพ” ด้วยการส่งมอบ“ความห่วงใย” ต่อกันตามโอกาสอีกด้วย เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ไอซ์ชูแขนขอพูดก่อนบ้าง “ต๊ะเขาก็รู้ว่าผมลำบากแหละ พอเขาส่งข้อความมาถามก็ชื่นใจแล้ว ไม่ต้องโอ๋กันมาก คบแต่เด็กรู้ว่าเขาห่วงเราแค่ไหนโดยไม่ต้องมาพูดจาซึ้งๆ อันนี้ซึ้งกว่าอีก ส่วนข้อที่ผมมีความห่วงอะไรในตัวเขาเป็นพิเศษหรือไม่นั้น ผมคิดว่าไม่ห่วง เพราะต๊ะเป็นคนเข้มแข็งที่สุดคนหนึ่งที่เคยเจอมา เป็นคนเด็ดเดี่ยว ภายนอกอาจดูแข็งๆ จริงๆ แล้วอ่อนโยน ดูแลตัวเองและครอบครัวได้อย่างดี ถ้าอยากส่งขอความ ก็เป็นข้อความเดิม “รักแกนะ” แค่นั้นแหละครับ”
ด้านสาวแกร่งออกปากเป็นการปิดท้ายบทสนทนาว่า ช่วงนี้เป็นช่วงที่ไม่มีใครสบาย ยิ่งธุรกิจเกี่ยวกับร้านอาหารกระทบมากกว่าอุตสาหกรรมอื่น เราก็แค่จะไลน์ไปสั้นๆ ว่า โอเคไหม แกไหวฉันรู้ มันไม่ต้องมีคำปลอบใจเพราะมากกว่าคำปลอบใจคือความเชื่อมั่น ไอซ์มีประสบการณ์และก็อยู่กับร้านอาหารมานาน เราให้คำปรึกษาไม่ได้เพราะเขาต้องรู้ดีกว่าเราอยู่แล้ว เราแค่ต้องมั่นใจในตัวเขาและเป็นผู้รับฟังให้เขาระบาย ส่วนถามว่าห่วงไอซ์เรื่องอะไรก็ห่วงเรื่องสุขภาพกายและสุขภาพใจมากที่สุด เพราะไอซ์ไม่ค่อยออกกำลังกาย สุขภาพใจคือเป็นคนมุ่งมั่นมากและกึ่งๆ เป็นเพอร์เฟ็กชั่นนิสจนบางทีอยากบอกให้ปล่อยวางบ้าง อะไรที่พ้นมือเราไปแล้วมันก็เกินความควบคุม
มิตรภาพ “ต๊ะ-ไอซ์” ถึงจะมีจุดเริ่มต้น แต่สำหรับจุดหมายปลายทางนั้น เขาและเธอให้ความสำคัญกับสิ่งที่พบเจอระหว่างทางซึ่งเต็มไปด้วยความจริงใจและความห่วงใยมากกว่าซึ่งสองเพื่อนซี้จะช่วยกันดูแลเส้นทางสายนี้ให้ทอดยาวไปข้างหน้าอย่างไม่สิ้นสุด.
‘ต้นรัก’