เจ้าของร้าน 7-11 แห่งหนึ่งในแคลิฟอร์เนีย กลายเป็นดาราในคลิปไวรัล หลังจากที่มีการเผยแพร่คลิปวิดีโอที่บันทึกภาพระหว่างที่เขาสู้กับโจรที่เข้ามาขโมยของในร้าน

ในคลิปวิดีโอไวรัลดังกล่าว เริ่มต้นจากการจับภาพหัวขโมยคนหนึ่ง ที่ใช้ผ้าสีน้ำเงินสดปิดหน้าไว้ เข้ามาในร้านและโกยสินค้าประเภทบุหรี่บนชั้นวาง ลงไปในถังขยะขนาดใหญ่ ที่เขานำติดมาด้วยอย่างอุกอาจ

เมื่อเจ้าของร้านพบเข้าและขู่ว่าจะแจ้งตำรวจ หัวขโมยกลับควักมีดจากกระเป๋ากางเกงออกมาขู่ และบอกให้เขาถอยไป

ในคลิปจะได้ยินเสียงชายคนหนึ่ง ที่ยืนอยู่หลังพลาสติกกั้น บอกชายผู้เป็นเจ้าของร้านว่า ให้ปล่อยโจรรายนี้ขโมยของไป เพราะคงทำอะไรไม่ได้ และตำรวจก็คงไม่มาจัดการอะไรให้ นอกจากนี้ยังถามเจ้าของร้านอีกด้วยว่า ทางร้านมีประกันกรณีโดนปล้นทรัพย์หรือไม่

แต่ในจังหวะที่คนร้ายกำลังจะออกจากร้านนั่นเอง พนักงานชายในร้านก็เข้าไปรั้งแขนของเขาไว้ ทั้งสองเริ่มต่อสู้กัน จากนั้นชายผู้เป็นเจ้าของร้าน ก็วิ่งเข้ามาพร้อมไม้ยาวและใช้ไม้ฟาดลงไปตามตัวของหัวขโมยไม่ต่ำกว่า 20 ครั้ง จนคนร้ายต้องร้องขอความเมตตาจากอีกฝ่าย 

(คลิปมีภาพของการใช้ความรุนแรง โปรดใช้วิจารณญาณในการชม)

ในคลิปไม่ได้ระบุว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เกิดที่ร้านสาขาใด อีกทั้งไม่มีรายละเอียดว่า มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาดูแลสถานการณ์หลังจากที่คนร้ายโดนฟาดจนน่วมไปทั้งตัวหรือไม่

อย่างไรก็ตาม เมื่อมีผู้นำคลิปดังกล่าวไปโพสต์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เมื่อวันที่ 2 ส.ค. ที่ผ่านมา ชาวเน็ตก็ให้ความสนใจอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นคลิปไวรัล ด้วยยอดเข้าชมมากกว่า 25.4 ล้านครั้ง นอกจากนี้ ยังมีผู้เข้ามาแสดงความเห็นเป็นจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่แสดงความชื่นชมเจ้าของร้านและพนักงานที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้โจรร้ายง่าย ๆ

ชาวเอ็กซ์​ (ทวิตเตอร์) รายหนึ่งแสดงความเห็นว่า แม้เขาจะไม่สนับสนุนการใช้ความรุนแรง แต่เขาเชื่อว่าคนเราควรมีสิทธิปกป้องทรัพย์สินส่วนตัว และถ้าจำเป็นต้องใช้ความรุนแรงเพื่อปกป้องตัวเอง ก็ต้องยอมให้เป็นแบบนั้น พร้อมกับปิดท้ายว่า รู้สึกดีใจที่เจ้าของร้านปลอดภัย เพราะเขาเห็นว่าคนร้ายมีมีดอยู่ในกระเป๋ากางเกง

นอกจากนี้ ยังมีชาวเอ็กซ์อีกหลายคนที่ยื่นข้อเสนอว่า พวกเขายินดีบริจาคเงินทุนให้เจ้าของร้าน ซึ่งเห็นได้ชัดจากผ้าโพกหัวว่าเป็นชาวซิกข์ ถ้าหากว่ามีการฟ้องร้องเขาที่ลงมือทำร้ายคนร้ายรายนี้

อนึ่ง แคลิฟอร์เนียมีกฎหมายที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า Prop 47 ซึ่งระบุว่าการโจรกรรมทรัพย์ที่มีมูลค่าไม่ถึง 950 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 33,000 บาท) ให้ถือเป็นความผิดลหุโทษ และจะไม่มีการลงโทษอย่างรุนแรง

ที่มา : nextshark.com

เครดิตภาพ : Twitter / @stillgray