กรณีชุด พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศูนย์ปราบปรามการโจรกรรมรถยนต์ รถจักรยานยนต์สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกับกรมขนส่งทางบก ทางบก และตำรวจกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) เปิดปฏิบัติการ “พลิกถนนล่า รหัสโจรกรรม” จับ 2 ผู้ต้องหาแก๊งสวมทะเบียนรถ โดยแอบใช้รหัสยูสเซอร์เนม-พาสเวิร์ดของเจ้าหน้าที่ขนส่ง เข้าไปเจาะข้อมูลเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อมูลรถยนต์ จากนั้นไปแจ้งหายเพื่อทำเล่มทะเบียนใหม่ ก่อนนำไปจำนำหรือขาย โดยปูพรมยึดรถได้ 65 คัน มูลค่ากว่า 77 ล้านบาท ตรวจสอบพบว่าลูกค้าส่วนใหญ่ มีทั้งดารานักแสดงดัง ในจำนวนนี้มีพระเอกชื่อดังอักษรย่อ “ม.” กลุ่มไฮโซและคนเล่นรถโบราณ เบื้องต้นตำรวจได้ออกหมายเรียกตาราคนดังกล่าวมาสอบปากคำ ก่อนที่ภายหลัง “มาริโอ้ เมาเร่อ” ได้ออกมายอมรับว่าเป็นดารา “ม” ที่มีชื่อเอี่ยวโยงแก๊งดังกล่าว หลังซื้อรถมาจากรุ่นพี่ที่รู้จัก พร้อมยืนยันความบริสุทธิ์ใจ เตรียมให้ปากคำกับทางตำรวจ ตามที่เสนอข่าวมาอย่างต่อเนื่องแล้วนั้น

‘มาริโอ้’ ยอมรับคือดารา ‘ม.’ ตร.จ่อเรียกสอบปมเอี่ยวแก๊งสวมทะเบียน

ความคืบหน้า เมื่อวันที่ 7 ส.ค. ที่ บช.สอท. พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. กล่าวว่า บช.สอท. ได้ทำหนังสือไปยังกรมศุลกากร เพื่อขอข้อมูลการนำเข้ามาของตัวรถหรือซากรถยนต์ ว่ามีการนำเข้ามาหรือสำแดงเข้าถูกต้องหรือไม่ นอกจากนี้ ได้ให้ชุดทำงานนำรถยนต์ของกลางที่ตรวจยึดได้ ส่งเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน เพื่อทำการตรวจสอบว่ามีการปลอมแปลงหรือดัดแปลงตัวถังส่วนควบรถหรือไม่อย่างไร อีกทั้งในส่วนของพยานหลักฐานที่ตรวจยึดที่เป็นเล่มทะเบียนรถ ต้องนำไปตรวจสอบว่ามีบุคคลใดเป็นผู้ครอบครอง ก็จะต้องออกหมายเรียกมาทำการสอบสวน

ส่วนการประชุมช่วงบ่ายวันนี้ (7 ส.ค.) ได้มอบหมายให้ พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์ รอง ผบช.สอท. เรียกชุดทำงานมาประชุม ซึ่งเป็นการหารือเพื่อที่จะวางแนวทางและติดตามความคืบหน้าทางคดี ส่วนกรณีที่ปรากฏว่ามีนักแสดงหนุ่ม มาริโอ้ เมาเร่อ ปรากฏอยู่ในข่ายที่จะต้องเรียกมาสอบปากคำนั้น สั่งการให้ทางพนักงานสอบสวนประสานทางนักแสดงหนุ่มแล้ว ซึ่งเจ้าตัวก็พร้อมที่จะให้ความร่วมมือและให้ข้อมูล ซึ่งช่วงแรกอาจจะไม่ได้เข้ามาตามนัดหมาย เนื่องจากวันและเวลาอาจจะยังไม่ตรงกัน แต่จากการที่ได้รับรายงาน เจ้าตัวเตรียมที่จะนัดหมายเข้ามาภายในสัปดาห์นี้

บ่ายวันเดียวกัน พล.ต.ต.อำนาจ ไตรรัตน์ รอง ผบช. สอท. ประชุมร่วมกับทีมสืบสวนสอบสวนในคดีการลักลอบเข้าระบบของกรมการขนส่งทางบก เพื่อเปลี่ยนแปลงข้อมูลรถ ก่อนนำเล่มทะเบียนไปขายต่อในราคาเล่มละ 1-2 ล้านบาท จนพบว่ามีรถ 65 คัน ถูกเปลี่ยนข้อมูล โดยภายหลังการประชุมได้เปิดเผยว่า คดีนี้จะแบ่งเป็นสองสำนวน คือสำนวนแรกเป็นการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้งสองคนที่ร่วมกันกระทำความผิดและถูกดำเนินคดีในข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ก่อนที่ทางผู้ต้องหาจะยื่นประกันตัวในชั้นศาล โดยสำนวนคดีนี้ ทางพนักงานอัยการได้ขอรายละเอียดข้อมูลกับทางพนักงานสอบสวนเพิ่มเติม เพื่อเตรียมที่จะสั่งฟ้อง ซึ่งในส่วนนี้ ได้ดำเนินการไปเป็นที่เรียบร้อย

ส่วนของสำนวนคดีที่สอง จะเป็นสำนวนที่ขยายผลการจับกุม รวมถึงกลุ่มที่ครอบครองรถทั้งหมด โดยจะออกหมายเรียกให้มาชี้แจงว่า มีส่วนรู้เห็นกับการเปลี่ยนแปลงข้อมูลหรือไม่ หากพบว่ามีความผิด ก็จะดำเนินคดีไปตามพยานหลักฐาน

ส่วนกรณีนักแสดงดัง มาริโอ้ เมาเร่อ ได้ประสานขอเข้าพบเพื่อแสดงหลักฐานการครอบครองรถเบนซ์ รุ่น G-300 สีขาว ภายในสัปดาห์นี้แล้ว โดยได้พูดคุยกันเบื้องต้นแล้วว่า ได้ติดต่อซื้อรถมาจากรุ่นพี่อีกคนหนึ่ง โดยได้เพียงเล่มทะเบียน แต่ยังไม่ได้รถ ซึ่งผิดปกติในการซื้อขายรถยนต์ แต่ต้องรอการสอบสวนและดูเหตุผลประกอบว่าจะมีความผิดหรือไม่ รวมทั้งต้องเรียกคนที่ขายรถให้มาสอบสวนด้วย นอกจากนั้นก็จะเรียกผู้ที่ครอบครองรถจักรยานยนต์ และรถยนต์ ทั้ง 65 คัน มาตรวจสอบด้วย โดยบางส่วนมาสอบสวนแล้ว บางคนก็มีเพียงเล่มทะเบียน ไม่มีรถยนต์ บางคนมีทั้งสองส่วน บางคนมีรถแต่ไม่มีเล่ม ซึ่งก็จะต้องมาดูว่ามีส่วนรู้เห็นให้เปลี่ยนแปลงข้อมูลหรือไม่

ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีดังกล่าวผู้ต้องหาทั้ง 2 คน จะเข้าข่ายความผิดฐาน ปลอมแปลงเอกสารทางราชการหรือไม่ ทางรอง ผบช.สอท. กล่าวว่า ความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มีฐานความผิดครอบคลุมอยู่แล้ว โดยที่จะมีโทษเพิ่มตามความผิดมูลฐาน แต่น่าจะยังไม่เข้าข่ายฉ้อโกง เพราะยังไม่มีผู้เสียหาย เนื่องจากส่วนใหญ่ทั้งสองฝ่ายจะสมยอมให้กระทำผิดร่วมกัน

สำหรับการสืบสวนขณะนี้ ยังไม่พบความผิดของเจ้าหน้าที่กรมการขนส่งทางบก แม้ว่าผู้ต้องหาจะบอกว่ารู้จักกับเจ้าหน้าที่กว่า 20 ปี และเชื่อว่าเป็นการใช้ความสนิทสนมกับเจ้าหน้าที่จนถูกลอบเข้าไปใช้ระบบ ซึ่งตำรวจมีหลักฐานการลักลอบเข้าใช้ในระบบอยู่แล้ว และสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ว่าใครจะร่วมกระทำผิดบ้าง นอกจากนั้น ก็จะประสานกับกรมการขนส่งทางบกเพื่อขอข้อมูลในส่วนนี้เพิ่มเติม รวมทั้ง อยู่ระหว่างการประสานกรมขนส่งทางบก เพื่อที่จะขอรายงานผลการตรวจสอบของคณะกรรมการสอบสวน หลังจากที่อธิบดีกรมการขนส่ง ได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีนี้

อย่างไรก็ตามคดีนี้ ทาง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศูนย์ปราบปรามการโจรกรรมรถยนต์ รถจักรยานยนต์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้สั่งการให้ขยายผลการจับกุม พร้อมเน้นย้ำให้ชุดทำงานดำเนินการรัดกุม ทำงานตรงไปตรงมา หากพบพยานหลักฐานเชื่อมโยงไปที่กลุ่มบุคคลใด ที่ส่อไปในการกระทำผิด ก็ต้องดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป