คิมเบอร์ลี วินเทอร์ หญิงสาวจากรัฐแมริแลนด์ สหรัฐอเมริกา เพิ่งทำลายสถิติในการ “เรอ” เสียงดังที่สุดในโลก (เฉพาะฝ่ายหญิง) ของ กินเนสส์เวิลด์เรคคอร์ด ได้สำเร็จ โดยวัดระดับความดังจากเสียงเรอของเธอได้ถึง 107.3 เดซิเบล ชนะ เอลิซา กันโยนิ แชมป์เก่าชาวอิตาลี ไปอย่างฉิวเฉียด ซึ่งเคยทำสถิติการเรอได้ดังถึง 107 เดซิเบล เมื่อปี 2552

สำหรับเจ้าของเสียงเรอที่ดังที่สุดในโลกฝ่ายชายนั้นคือ เนวิลล์ ชาร์ป ชาวออสเตรเลีย เขาเรอได้ดัง 112.7 เดซิเบล เมื่อปี 2564

เสียงเรอของ วินเทอร์ ดังกว่าอุปกรณ์ไฟฟ้าหลายชนิด เช่น เสียงเครื่องปั่นอาหาร ซึ่งมีความดังอยู่ระหว่าง 70-80 เดซิเบล, เสียงสว่านไฟฟ้า (90-95 เดซิเบล) และใกล้เคียงกับเสียงเร่งเครื่องมอเตอร์ไซค์เต็มที่ ซึ่งมีความดังเฉลี่ยอยู่ที่ 100-110 เดซิเบล

ในการวัดสถิติครั้งนี้ วินเทอร์ จะต้องเข้าไปปล่อยเสีย เรอในห้องที่ปิดตาย เช่น ห้องหรือสตูดิโอบันทึกเสียง เพื่อจำกัดเสียงสะท้อนออกไป ซึ่งในครั้งนี้ เธอได้ไปทำการทดสอบเพื่อจัดบันทึกเป็นสถิติที่สตูดิโอของสถานีวิทยุไอฮาร์ตเรดิโอ ทั้งยังเป็นการเรอแบบสด ๆ ออกอากาศในรายการ ‘เอลเลียต อิน เดอะ มอร์นิง’ อีกด้วย

นอกจากนี้ ยังต้องมีการจัดแจงท่ายืนก่อนการเรอ เพื่อให้ได้มาตรฐานในการวัดระดับเสียง โดย วินเทอร์ จะต้องยืนห่างจากไมโครโฟนรับเสียงประมาณ 2.5 เมตร 

ก่อนหน้าจะทำลายสถิติ วินเทอร์ เตรียมตัวด้วยการรับประทานอาหารเช้าอย่างเต็มที่ พร้อมกับดื่มกาแฟและเบียร์ ซึ่งเป็นรูปแบบการกินที่เธอวางแผนไว้หลังจากทดลองมาหลายสัปดาห์ จนกระทั่งพบอาหารที่ทำให้เธอเรอออกมาได้เสียงดังที่สุด โดยเธอบอกว่า อาหารรสจัด, น้ำอัดลม และแอลกอฮอล์ คือสิ่งที่ทำให้เธอเรอได้เสียงดังมาก

ระหว่างที่ วินเทอร์ พยายามจะปล่อยเสียงเรอให้ดังสนั่นนั้น เธอบอกว่าจะต้องสูดลมหายใจลึก ๆ เข้าไป และพยายามปลดปล่อยเสียงที่ทั้งน่าอัศจรรย์และน่าสะพรึงกลัวในเวลาเดียวกันออกมา

วินเทอร์ หลงใหลความสามารถพิเศษนี้ของตัวเองมาตั้งแต่ตอนที่เธอยังเป็นเด็ก และยิ่งเธอโตขึ้น เธอก็ยิ่งเรอเสียงดังมากขึ้นเรื่อย ๆ และรู้สึกสนุกมาก เวลาที่เห็นคนแปลกหน้าทำท่าตกใจที่ได้ยินเสียงเรอสุดสนั่นของเธอ

วินเทอร์ เริ่มรู้ตัวว่า เธออาจจะเป็นคนที่เรอเสียงดังที่สุดในโลก เมื่อเธอโดนไล่ออกจากบาร์แห่งหนึ่ง เพราะเรอเสียงดังมากเกินไป นอกจากนี้เธอยังมีแฟน ๆ จำนวนมาก ที่ติดตามในช่องทางยูทูบและติ๊กต็อกของเธอ สนับสนุนให้ลองทำลายสถิติดู ซึ่งเธอก็ทำได้สำเร็จ

ที่มา : guinnessworldrecords.com

เครดิตภาพ : YouTube / Guinness World Records