ธนาคารโลกร่วมกับหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) และมหาวิทยาลัยขอนแก่น จัดทำงานศึกษา “การประเมินแหล่งเงินทุนสำหรับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการพัฒนาเมืองในประเทศไทย (Thailand Urban Infrastructure Finance Assessment)” โดยการศึกษาฯ ชี้ถึงโอกาสและความสำคัญของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยรัฐบาลจะต้องมีแนวทางส่งเสริมให้เมืองรองเหล่านี้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนภาคเอกชนเพื่อมาใช้ในการลงทุนและการพัฒนาเมือง
ที่ผ่านมา กรุงเทพฯ จัดว่าเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของประเทศมาอย่างยาวนาน และโอกาสในการขยายตัวทางเศรษฐกิจของกรุงเทพฯ เริ่มอิ่มตัว เมืองรองต่างๆ เช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น และระยอง กําลังเจริญเติบโตและสร้างโอกาสให้กับคนในพื้นที่ อีกทั้งยังสามารถเป็นแกนหลักทางเศรษฐกิจของประเทศ หากมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในด้านต่างๆ เช่น ระบบขนส่งมวลชน พลังงานทดแทน และโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ ที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและการรับมือกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ
อย่างไรก็ดี เมืองรองต่างๆ ไม่สามารถพึ่งพางบประมาณภาครัฐเพียงแหล่งเดียว และควรพิจารณาเครื่องมือการระดมทุนอื่นๆ เช่น การออกพันธบัตรสนับสนุนการลงทุนโครงการในท้องถิ่น และการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (Public-Private Partnerships: PPP) เป็นต้น
การพัฒนาเมืองจะเป็นประโยชน์กับทั้งประชาชนที่อาศัยในเขตเมืองและประชาชนที่อยู่นอกเขตเมือง เช่น จากการพัฒนาระบบขนส่งและคมนาคม ระบบพลังงานและไฟฟ้า น้ำประปา ระบบบำบัดน้ำเสีย ระบบกำจัดขยะมูลฝอย เพื่อสร้างเมืองให้เป็นเมืองน่าอยู่ ทั้งนี้ การพัฒนาเมืองจะส่งผลให้การเคลื่อนย้ายคน สินค้า และบริการมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งภายในเขตเมืองและระหว่างเมือง โดยจะช่วยส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ การจ้างงาน การพัฒนาคุณภาพชีวิต และประโยชน์ในด้านสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ โครงสร้างพื้นฐานที่ดี จะช่วยให้เมืองสามารถลดผลกระทบที่ตามมาจากอุบัติภัยและสาธารณะภัย เพื่อสุขภาวะที่ดีและการดำรงชีวิตของคนได้
นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง กล่าวว่า พื้นที่เมืองรองสามารถช่วยขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจและลดปัญหาความยากจนในพื้นที่ชนบทได้ โดยการสร้างโอกาสให้แก่ประชาชน ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะนำผลการศึกษานี้ มาสนับสนุนการพัฒนาเมืองเพื่อตอบสนองกับความต้องการของประชาชน ภาคธุรกิจ และภาคอุตสาหกรรมต่อไป
รายงานฯ ระบุว่า หากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอำนาจในการจัดหาแหล่งทุนได้ด้วยตนเอง จะสามารถช่วยลดภาระต่อสถานะทางการคลังของประเทศไทยได้ อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันเมืองรองและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของไทยยังคงต้องพึ่งพาเงินงบประมาณในการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน และยังไม่มีอำนาจในการจัดหาแหล่งทุนได้ด้วยตนเอง แม้ว่ากฎหมายการกระจายอำนาจที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ พ.ศ. 2542 ได้ระบุเจตนารมณ์ให้ท้องถิ่นตัดสินใจในกิจการท้องถิ่นได้เอง อนึ่ง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจำเป็นต้องสร้างความน่าเชื่อถือทางการเงินด้วยการมีฐานภาษีและการจัดเก็บรายได้ที่จะสร้างความมั่นคงทางการเงินและคลัง เพื่อให้เกิดความมั่นใจให้แก่นักลงทุน
ทั้งนี้ รายงานฯ เสนอแนะให้มีการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ โดยให้เมืองรองได้มีอำนาจจัดหาแหล่งทุนได้ด้วยตนเอง สร้างเครื่องมือ และความเชี่ยวชาญในการจัดหาเงินทุนเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการพัฒนาเมือง รายงานฯ ฉบับนี้ เสนอให้มีการกำหนดยุทธศาสตร์ระดับชาติเพื่อส่งเสริมการลงทุนจากภาคเอกชน และการจัดตั้งหน่วยงานขึ้นเพื่อวางแผน พัฒนา และติดตามการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการพัฒนาเมือง ในการนี้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจำเป็นต้องมีอิสระทางการคลังในการดำเนินการมากขึ้น เพื่อสามารถพึ่งพาตนเอง มีความโปร่งใส และตรวจสอบได้
ดร.ฟาบริซิโอ ซาร์โคเน ผู้จัดการธนาคารโลกประจำประเทศไทย กล่าวว่า ความเป็นอิสระทางการคลังขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะเป็นตัวแปรสำคัญให้การพัฒนาเมืองของไทยมีความยั่งยืน โดยการส่งเสริมให้เมืองต่างๆ สามารถจัดเก็บและบริหารจัดการแหล่งรายได้และภาษี จะช่วยส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรม ความรับผิดชอบ และสามารถตอบสนองต่อความต้องการของชุมชน และสร้างเมืองให้มีความรู้รับปรับตัวและพึ่งพาตนเองมากขึ้นได้ในที่สุด
งานศึกษาฯ นี้ ได้ประเมินถึงความเป็นไปได้ของข้อเสนอโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ใน 5 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ ระยอง นครสวรรค์ ขอนแก่น และภูเก็ต และได้มีการนำเสนอผลการศึกษาเชิงนโยบายและเชิงสถาบันที่เกี่ยวข้องกับการกำกับการดำเนินการทางการคลังขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมถึง การระดมทุนสำหรับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
รศ.ดร.ปุ่น เที่ยงบูรณธรรม รองผู้อำนวยการฝ่ายแผนและยุทธศาสตร์องค์กร หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) กล่าวว่า การเสนอขายตราสารหนี้สำหรับโครงการลงทุนในท้องถิ่นและการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน เป็นแนวทางที่หลายประเทศทั่วโลกได้นำมาใช้ ปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลต่อความสำเร็จ คือการมีทิศทางและนโยบายระดับชาติที่ชัดเจนในการระดมทุนจากภาคเอกชนเพื่อลงทุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการพัฒนาเมือง