สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย เมื่อวันที่ 3 ก.ย. ว่าข้าวหัก 5% ของไทย ซึ่งสำนักข่าวบลูมเบิร์กยกให้เป็น “ค่ากลาง” ของตลาดเอเชีย มีราคาอยู่ที่ตันละ 648 ดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 22,911.34 บาท ) เมื่อวันพุธที่แล้ว เป็นสถิติสูงที่สุด นับตั้งแต่เดือนต.ค. 2551 ตามข้อมูลจากสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย


ขณะที่ราคาข้าวหอมมะลิของไทยอยู่ที่ 796 ดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 28,144.17 บาท ) ต่อ 1 ตัน ณ ราคาซื้อขายเมื่อวันที่ 16 ส.ค. ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นอย่างมากจากสถิติ 662 ดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 23,406.33 บาท ) ต่อ 1 ตัน เมื่อวันที่ 5 ก.ค.


ทั้งนี้ ราคาข้าวในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่อินเดียประกาศมาตรการ ระงับการส่งออกข้าวทุกชนิด ที่ไม่ใช่ข้าวบาสมาติ ตั้งแต่วันที่ 20 ก.ค. ที่ผ่านมา ตามด้วยการประกาศเมื่อวันที่ 25 ส.ค. เก็บภาษีการส่งออกข้าวนึ่งในอัตรา 20% จนถึงวันที่ 16 ต.ค. 2566 โดยให้เหตุผลว่า เพื่อรักษาเสถียรภาพของตลาดอาหารภายในประเทศ และเพื่อควบคุมราคาไม่ให้สูงเกินไป


ศ.กิตติคุณ ปีเตอร์ ทิมเมอร์ จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ซึ่งศึกษาเรื่องความมั่นคงทางอาหารของโลกมานานหลายทศวรรษ กล่าวว่า สิ่งที่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกังวลมากที่สุด ณ เวลานี้ คือการที่ประเทศผู้ส่งออกข้างรายใหญ่อันดับ 2 และ 3 ของโลก คือ ไทยและเวียดนาม จะใช้มาตรการจำกัดการส่งออกข้าวตามอินเดีย ซึ่งเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดหรือไม่


หากทั้งสองประเทศ หรือประเทศใดประเทศหนึ่ง ใช้มาตรการควบคุมการส่งออกข้าวของตัวเอง ศ.กิตติคุณ ทิมเมอร์ กล่าวว่า ราคาข้าวในตลาดโลกอาจพุ่งไปถึงตันละ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 35,357 บาท ) หรือมากกว่านั้น


อย่างไรก็ดี การที่อินเดียซึ่งเป็นผู้ส่งออกหมายเลขหนึ่ง ระงับการส่งออก เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้แก่ทั้งไทยและเวียดนาม โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยส่งเจ้าหน้าที่เยือนหลายประเทศ เพื่อส่งสัญญาณว่า “หากต้องการข้าวเพิ่ม ไทยมีพร้อมส่ง” ส่วนเวียดนามคาดการณ์ปริมาณการส่งออกข้าวปีนี้ จะดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว.

เครดิตภาพ : AFP