คุณหมออรัณ เล่าย้อนเส้นทางเดินบนวิชาชีพการเป็นนายแพทย์ ว่า ตอนเด็กอยากเข้าเรียนคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่แม่อยากให้เรียนหมอจึงลองสอบดู ผลปรากฎว่าสอบติด จึงได้เป็นหมอมาจนถึงปัจจุบัน แต่ด้วยความชื่นชอบด้านการเขียน ความบันเทิง ชอบพูดคุยกับผู้คน จึงเริ่มจากบอกเล่าเรื่องราวการทำงานต่างๆผ่าน เพจเฟซบุ๊ก โดยเขียนแชร์ทั้งความรู้ และประสบการณ์ที่พบเจอลงในเพจ ทำให้ผู้คนจำนวนมากให้ความสนใจ เข้ามาปรึกษาพูดคุย ด้วยความ เป็นคนอารมณ์ดี ใช้ภาษาสนุกสนาน เข้าใจง่าย ความรู้สึกเหมือนคุยกับเพื่อน ทำให้คนอ่านได้ทั้งความรู้และความบันเทิง บ่อยครั้งเรื่องราวที่แชร์กลายเป็นไวรัลถูกพูดถึงเป็นวงกว้าง ทำให้แฟนเพจที่ติดตามคุณหมอได้ความรู้ หันมาสนใจด้านสุขภาพเพิ่มมากขึ้น หมั่นตรวจสุขภาพประจำปี โดยเชื่อว่า “มะเร็ง รู้เร็ว รักษาหาย”

ในด้านการทำงาน คุณหมออรัณบอกว่าถึงความตั้งใจและหลักการในการทำงานด้วยหัวใจว่า “อยากช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ จึงเลือกบรรจุเป็นข้าราชการเข้าทำงานที่โรงพยาบาลตำรวจจนถึงปัจจุบันเป็น ระยะเวลากว่า 8 ปี มีโอกาสได้ดูแลชีวิตผู้คนตั้งแต่แรกเกิด แก่ และจากโลกนี้ไปในที่สุด ได้เห็นโลกตามความเป็นจริง จึงทำให้เข้าใจชีวิตมากยิ่งขึ้น และสถิติในประเทศไทยทุกๆ หนึ่งแสนของการคลอดบุตรจะมีคุณแม่เสียชีวิตหนึ่งราย จึงพยายามมองโลกตามความเป็นจริง ใช้หลักการพัฒนาจิต ฝึกปฏิบัติ นำธรรมะเข้ามาช่วยในการใช้ชีวิต ทำให้รู้จักการจัดการความเครียดได้ดียิ่งขึ้น”

คุณหมออรัณยังยกหนึ่งในประสบการณ์การทำงานที่มีแง่งามด้านความประทับใจว่า “ความรัก ที่ยอมตายแทนกันได้ มันมีอยู่บนโลกนี้จริงๆ สำหรับผมมันคือเรื่องเศร้าที่แสนจะงดงาม ตัวอย่างเคสคุณแม่มาฝากครรภ์ แต่ตรวจพบว่าเป็นมะเร็งปากมดลูกในระยะเริ่มต้น ขณะมีอายุครรภ์ได้เพียงแค่ 2 เดือน ตามหลักการทางการแพทย์ คือ ต้องยุติการตั้งครรภ์เพื่อรักษาชีวิตคุณแม่ก่อนที่มะเร็งจะลุกลาม เคสนี้ผมไม่กล้าดูแลเองครับ จึงเขียนใบส่งตัวไปรักษาในกรุงเทพฯ ที่เป็นโรงเรียนแพทย์ชั้นนำ เคสนี้เป็นเคสที่ประทับใจและสะเทือนใจสำหรับผมมากๆ เพราะในวันนั้นเธอไม่ยอมยื่นมือมารับจดหมาย ส่งตัวจากผม ผ่านไปไม่กี่วันเธอกลับมาด้วยหน้าตายิ้มแย้ม พร้อมประโยคที่บอกว่า หมอคะ หนูไม่ไปรักษาค่ะ ขอฝากครรภ์ต่อ ขอให้คุณหมอช่วยทำให้หนู ได้หอมแก้มลูกนะคะ ครั้งเดียวก็ได้ค่ะ จากนั้นหนูจะตายหนูก็ยอม ไม่ว่าจะโน้มน้าวหรือใช้เหตุผลอะไร เธอก็ไม่เปลี่ยนใจ สุดท้ายผมเองที่ยอมแพ้กับความตั้งใจที่มีของคุณแม่ท่านนั้น เธอตั้งครรภ์จนถึง 8 เดือนแล้วผ่าคลอด เป็นผู้ชายร่างกายอ้วนท้วน แข็งแรง และหลังจากคลอดแล้วความคิดของเธอก็เปลี่ยนไปโดยมาคุยกับหมอว่า ยังไม่อยากตาย อยากอยู่กับลูก จึงเริ่มทำการฉายแสงเพื่อรักษามะเร็ง ปัจจุบันคุณแม่และลูกสุขภาพแข็งแรงดีทั้ง 2 คน นับว่าเป็นอีกเคสที่ผมรู้สึกประทับใจที่สุดในเรื่องราวความรักของคนเป็นแม่”.
เรื่อง/แก้วใจ