เมื่อวันที่ 20 ก.ย. ที่ห้องประชุม 123 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดร.ไชยา พรหมา รมช.เกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานเปิดการสัมมนาผู้เลี้ยงสุกรรายย่อยทั่วไทย ในหัวข้อ “ทำอย่างไรให้รายย่อยยั่งยืน” โดยชมรมผู้เลี้ยงสุกรรายย่อยไทย มี น.สพ.ยุคล ลิ้มแหลมทอง นักวิชาการอิสระ, น.สพ.สมชวน รัตนมังคลานนท์ อธิบดีกรมปศุสัตว์, พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมลล อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ผู้แทนอธิบดีกรมการค้าภายใน และ น.สพ.วิวัฒน์ พงษ์วิวัฒนชัย ดำเนินรายการ การเสวนาเป็นรูปแบบออนไลน์

นอกจากนี้ในที่ประชุม ยังมีกลุ่มผู้เลี้ยงสุกรรายย่อยทั่วประเทศร่วมรับฟังแลกเปลี่ยนความเห็นให้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้า “หมูเถื่อน” อย่างจริงจัง รวมถึงการหาแนวทางป้องกันในเรื่องของราคาหมู และราคาต้นทุนการเลี้ยงหมูกับปัญหาการถูกเอารัดเอาเปรียบเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร โดยกลุ่มที่ชาวบ้านเรียกว่า “โบรกเกอร์หน้าฟาร์ม” ก็คือคนที่สนับสนุนส่งเสริมให้เกษตรกรเลี้ยงหมู และเป็นผู้ซื้อขายหมูกับเกษตรกรรายย่อย แต่มีพฤติกรรมเอารัดเอาเปรียบ

ดร.ไชยา รมช.เกษตรฯ กล่าวว่า ผลกระทบต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรรายย่อย แบ่งออกได้เป็นหลายกรณี ขณะนี้เฉพาะหน้า เป็นปัญหาการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อน มีข้อมูลมาจากเรือประเทศบราซิล และในลักษณะกองทัพมดตะเข็บชายแดนของประเทศรัสเซีย กับปัญหาคนส่งเสริมให้เกษตรกรรายย่อยเลี้ยงสุกร นั่นหมายถึง “โบรกเกอร์” มีพฤติกรรมกดราคาจนทำให้ผู้เลี้ยงสุกรประสบปัญหาขาดทุน ซึ่งชมรมฯ ได้เรียกร้องให้ทำการขึ้นทะเบียน กับอีกหนึ่งปัญหาก็คือในเรื่องของต้นทุนการเลี้ยง

“กรณีนี้ ข้อมูลปี 2565 จาก กรมปศุสัตว์ มีเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูทั้งประเทศ จำนวน 149,000 ราย จำนวนประชากรหมูประมาณกว่า 10 ล้านตัว เป็นหมูขุนกว่า 9 ล้านตัว เป็นกลุ่มผู้เลี้ยงรายย่อย 136,000 ราย คิดเป็นร้อยละเก้าสิบเจ็ด ซึ่งผลกระทบปัญหาการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อน ปัญหาโบรกเกอร์เอาเปรียบ และปัญหาต้นทุน จึงเป็นสิ่งที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะต้องแก้ปัญหา”

รมช.เกษตรฯ กล่าวทิ้งท้ายว่า อนาคตจะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาแก้ไขปัญหาเรื่องนี้โดยมีผู้แทนเกษตรกรรายย่อยเข้ามาร่วมวางแผนแก้ปัญหากันอย่างจริงจัง ในการปราบปราม ที่ต้องมี กรมสอบสวนคดีพิเศษ นายอัจฉริยะ กรมปศุสัตว์ รวมถึงกระทรวงพาณิชย์ กรมศุลกากร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นอกจากนี้ยังรวมถึงการกำหนดราคาหน้าฟาร์มที่ชัดเจน ที่ทั้งผู้เลี้ยงและผู้ซื้อจะต้องเข้าใจถูกต้องตรงกัน ซึ่งก็ต้องดูช่องทางของกฎหมายให้ชัดแจ้งต่อไป

ด้าน พ.ต.ต.สุริยา อธิบดีดีเอสไอ นำเสนอว่า การแก้ไขปัญหาหมูเถื่อนนั้น ก่อนรับเรื่องเป็นคดีพิเศษ ได้รับทราบปัญหาและหารือกับ นายอัจฉริยะฯ เกี่ยวกับปัญหาสุกร ยอมรับว่าเรื่องนี้มีผลกระทบสูงและมีเบื้องหลัง การรับเป็นคดีพิเศษหมูเถื่อนครั้งนี้ถือว่า ดีเอสไอทำได้เร็วที่สุด เร่งรัดจนสามารถ ยึด อายัด หมูเถื่อนในท่าเรือได้ 161 ตู้ แนวทางการสืบสวนดีเอไอรู้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเป็นใครและ ไม่ใช่เฉพาะคนในท่าเรือแหลมฉบับ แต่ยังมีกลุ่มคนที่กำลังทำการเร่งขยายผล โดยมีการแจ้งข่าวในเชิงลึกทำให้ทราบว่า มีผู้อยู่เบื้องหลังขบวนการกระทำความผิดเป็น “บริษัทใหญ่” ประมาณ 4-5 บริษัท ยืนยันว่าการทำงานจะทำอย่างเต็มที่ และก็ยังคงต้องการข้อมูลในทางลับเพื่อดำเนินการปราบปรามอย่างต่อเนื่องในเรื่องนี้

น.สพ.สมชวน อธิบดีกรมปศุสัตว์ การปราบปรามหมูเถื่อนจำเป็นที่ทุกฝ่ายจะต้องช่วยกัน เพราะการลักลอบนำเข้า ทำให้ผู้เลี้ยงหมูในประเทศค่อยๆ หมดไป เพราะการนำเข้านั้นไม่ต้องเลี้ยงขายและสามารถขายได้ราคาถูกกว่า ซึ่งที่ผ่านมา กรมปศุสัตว์ ร่วมกับ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ทำการปราบปรามจนพบว่า เนื้อหมูเถื่อนนั้น ลักลอบมาในรูปแบบกองทัพมด ที่มาจากประเทศรัสเซีย และทางเรือ มาจากประเทศบราซิล ในเรื่องราคากรมปศุสัตว์ พยายามรักษาเสถียรภาพราคา ต้องการให้ราคานิ่ง อยู่ได้ทุกคนผู้บริโภคไม่เดือดร้อน ดังนั้นในกรณี ผู้จับผู้ขาย ที่เรียกว่าขึ้นทะเบียนโบรกเกอร์ จำเป็นที่ต้องขอข้อมูลจากผู้เลี้ยงว่าได้ซื้อขายหมูให้ใครบ้าง จึงจะสามารถทำการติดตามขึ้นทะเบียนได้ เพราะจะต้องพิจารณาไปถึงปริมาณการผลิต ที่ต้องสมดุล โครงสร้างราคาที่เป็นธรรม ตั้งแต่หมูหน้าฟาร์ม ที่ต้องหารือร่วมกับกระทรวงพาณิชย์.