เมื่อวันที่ 15 ก.ย. รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องการเลือกฉีดวัคซีนให้กับเด็กอายุ 12-18 ปี โดยระบุว่า “อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ ย้ำว่าเป็นความเห็นส่วนตัว และไม่จำเป็นจะต้องเชื่อตามนะครับ

คือเริ่มมีพ่อแม่ผู้ปกครองจำนวนมาก ถามเข้ามาเกี่ยวกับเรื่องการเลือกฉีดวัคซีนให้กับลูกหลานของตนเอง (12-18 ปี)  เนื่องจากที่โรงเรียนได้รับสิทธิในการฉีดวัคซีนซิโนฟาร์ม และวัคซีนไฟเซอร์ เลยไม่รู้จะเลือกอะไรดี

โดยส่วนตัว ผมเคยพูดตั้งแต่ปีที่แล้วตั้งแต่สมัยยังไม่มีวัคซีนฉีดกัน ว่าผมจะเลือกฉีดวัคซีนอะไรก็ได้ที่ทางประเทศสหรัฐอเมริกาเขารับรองแล้ว ผมก็ OK ด้วย (ดังนั้น ถึงผมจะได้สิทธิฉีดวัคซีนซิโนแวคไป ก็รีบจองวัคซีนโมเดอร์นาตามไปทันที)

ทีนี้ ถ้าเราเปรียบเทียบจุดเด่นจุดด้อยของวัคซีนซิโนฟาร์ม และวัคซีนไฟเซอร์นั้น ก็ค่อนข้างจะแตกต่างกันอยู่นะครับ การฉีดวัคซีนซิโนฟาร์มนั้น มีจุดด้อยที่วัคซีนยังไม่ได้รับการอนุมัติรับรองจาก อย. ให้ฉีดในเด็กได้ แต่ที่จะจัดฉีดกันนั้น เป็นโครงการทดลองฉีดของทางราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ซึ่งผู้ปกครองต้องให้ความยินยอมในการร่วมทดลองด้วย

การใช้งานวัคซีนซิโนฟาร์มในเด็ก ตอนนี้ก็มีแค่ประเทศจีนที่เดียวที่ใช้ได้ ยังไม่ได้รับการรับรองจากนานาประเทศให้ใช้ แต่จุดเด่น ก็คือมันเป็นวัคซีนกลุ่มวัคซีนเชื้อตาย ซึ่งผลข้างเคียงน่าจะต่ำ เหมือนกับที่นำมาฉีดในผู้ใหญ่

สำหรับวัคซีนไฟเซอร์ซึ่งเป็นวัคซีนกลุ่ม mRNA นั้น จุดเด่นก็คือประสิทธิภาพในการต้านทานไวรัสที่สูงมาก มีการฉีดในเด็กแล้วในหลายประเทศทั่วโลก และได้รับการรับรองจากองค์กรต่างๆ ตั้งแต่ระดับองค์การอนามัยโลก FDAสหรัฐอเมริกา อย. ประเทศไทย รวมถึงอยู่ในคำแนะนำของราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทยด้วย

ส่วนจุดด้อยนั้นก็มีที่กังวลกันเรื่องของผลข้างเคียง เช่นเรื่องกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ แต่อัตราการเกิดก็ต่ำมากๆๆ คือประมาณ 14 คน ใน 1 ล้านคนเท่านั้น (มักเป็นในเด็กผู้ชาย ที่ออกกำลังกายหนักหลังจากฉีด) และทุกคนสามารถรักษาหายได้

วัคซีนทั้ง 2 ตัวนี้ ณ ขณะนี้ จะเป็นการได้ฉีดฟรีทั้งคู่จากรัฐ จึงไม่มีปัจจัยเรื่องค่าใช้จ่ายมาเกี่ยว ซึ่งเพื่อนหมอหลายคนก็บอกว่าเป็นเขาก็คงเลือกวัคซีนซิโนฟาร์ม ตรงความปลอดภัยที่มีต่อเด็ก …. ส่วนผม ก็ขอบอกว่าผมเลือกไฟเซอร์ (รวมถึงโมเดอร์นา) ตามที่อเมริกาใช้ ดังนั้น การตัดสินใจ คงอยู่บนพื้นฐานของผู้ปกครองแต่ละท่าน ตามข้อมูลที่ให้ไว้นี้นะครับ

ปล. สำหรับวัคซีนในเด็กเล็กนั้น น่าจะยังอีกสักระยะหนึ่งถึงจะมีให้ฉีดกัน จากความจริงเรื่องหนึ่งที่ว่า เด็กที่อายุน้อย (ต่ำกว่า 12 ปี) จะมีโอกาสป่วยรุนแรงจากโรคโควิด-19 น้อยกว่าผู้ใหญ่มาก ในทางปฏิบัติจึงแทบจะไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีน ยกเว้นจะมีโรคประจำตัวอยู่แล้ว (ส่วนเด็กโตมีความคาบเกี่ยวอายุมาทางผู้ใหญ่ ก็เลยควรจะต้องฉีดวัคซีนเพิ่มเติม)”..

ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบ : Jessada Denduangboripant