เมื่อวันที่ 10 ต.ค. ที่ผ่านมา ณ ห้องประชุม 402-403 ชั้น 4 อาคารรัฐสภา (ฝั่งวุฒิสภา) คณะกรรมาธิการการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ วุฒิสภา จัดสัมมนาเรื่อง “ต้นแบบการแก้จนด้วยนโยบายควบคุมการคอร์รัปชันของรัฐบาล สี จิ้นผิง” โดยมี นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ ประธานคณะกรรมาธิการ เป็นประธานในพิธีเปิด นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ รองประธาน กมธ.คนที่2 กล่าวรายงาน พร้อมด้วย นายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย,สมาชิกวุฒิสภาม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร, ผู้แทนเหล่าทัพ, ผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และสื่อมวลชน เข้าร่วมฟังอย่างคึกคัก ทั้งนี้ ก่อนการเริ่มการสัมมนา ผู้เข้าร่วมได้มีการยืนไว้อาลัยเป็นเวลา 1 นาที ให้กับผู้เสียชีวิตชาวจีนจากเหตุการณ์ที่ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน เมื่อวันที่ 3 ต.ค.ที่ผ่านมา

นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ ประธานคณะกมธ.แก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ วุฒิสภา กล่าวว่า คณะกรรมาธิการฯ ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการแก้ปัญหาความยากจนของประเทศไทย ซึ่งมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัยและหลายเงื่อนไข โดยการทุจริตคอร์รัปชันในปัจจุบันได้พัฒนารูปแบบจนมีความสลับซับช้อนมากยิ่งขึ้น ซึ่งเกี่ยวข้องกับระบบของอำนาจทั้งในทางการเมืองและในระบบราชการ เกี่ยวข้องกับผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น และกลุ่มทุนเอกชน รวมถึงเกี่ยวข้องกับระบบการฟอกเงิน ทั้งในระบบเศรษฐกิจการเงินภายในประเทศและเศรษฐกิจการเงินในระดับนานาชาติอีกด้วย ถึงแม้ที่ผ่านมาประเทศไทยมีการเรียนรู้ประสบการณ์ของประเทศที่ประสบความสำเร็จในการควบคุมการคอร์รัปชันของประเทศตะวันตกมาแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะควบคุมได้

“ขณะนี้รัฐบาลจีนภายใต้การดำเนินนโยบายของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ที่มีความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาความยากจนด้วยนโยบายควบคุมการคอร์รัปชันและประสบความสำเร็จแก้ปัญหาได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งจากประสบการณ์ของประเทศจีนในเรื่องนี้เป็นสิ่งที่มีคุณค่าแก่ประเทศต่าง ๆ และประชาชนที่ไม่ยอมรับการคอร์รัปชันทั่วโลก จึงเป็นเรื่องที่สมควรอย่างยิ่งที่ไทยจะได้เรียนรู้และศึกษาทำความเข้าใจให้อย่างลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น”

ด้านนายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “นโยบายควบคุมการคอร์รัปชันของรัฐบาล สี จิ้นผิง” ตอนหนึ่งว่า เมื่อวันที่ 20 ก.พ.2564 จีนได้จัดการประชุมสรุปและเชิดชูบุคคลและหน่วยงานที่เป็นต้นแบบในการแก้ปัญหาความยากจนระดับชาติ โดยประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า ด้วยความพยายามร่วมกันของทางพรรคและประชาชนทุกกลุ่ม ประเทศจีนได้รับชัยชนะอย่างรอบด้านในการต่อสู้กับความยากจน ทำให้คนยากจนในชนบทกว่า 98.9 ล้านคน หลุดพ้นจากความยากจน เป็นการบรรลุภารกิจที่ยากลำบากในการขจัดความยากจนตามมาตรฐานความยากจนระหว่างประเทศของประชากรโลก คิดเป็นสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 70 ของประชากรที่หลุดพ้นจากความยากจนทั่วโลก

ในช่วงเวลาเดียวกันประเทศจีนได้บรรลุเป้าหมายการแก้ไขปัญหาความยากจนตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติปี 2030 ก่อนกำหนดเวลา 10 ปี และมีส่วนสำคัญในการแก้ปัญหาความยากจนของโลก ซึ่งความสำเร็จในการแก้ปัญหาความยากจนของประเทศจีน ต้องอาศัยความพยายามและการสนับสนุนจากทุกฝ่าย และถือว่าเป็นหลักประกันที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้ภารกิจประสบความสำเร็จ โดยประธานาธิบดี สี จิ้นผิง เคยได้กล่าวไว้ว่า เราต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของการกำกับดูแลพรรคที่รอบด้านและเข้มงวดในทุกขั้นตอนของกระบวนการแก้ปัญหาความยากจน โดยดำเนินการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอและประมวลผลที่เข้มงวดที่สุด เพื่อให้แน่ใจว่าการกระบวนการแก้ไขปัญหาความยากจนเป็นไปอย่างมั่นคงจนทำให้ความสำเร็จในด้านการแก้จนมีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง และการพิสูจน์ด้วยภาคปฏิบัติและประวัติศาสตร์ได้

ภายในการสัมมนามีการเปิดเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ร่วมตั้งคำถามนายหาน จื้อเฉียง แบ่งปันความคิดเห็นกันอย่างคึกคัก อาทิ นายพลเดช ปิ่นประทีป รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่1 , ผศ.นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ สมาชิกวุฒิสภา และ นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล โดยสอบถามในประเด็นที่น่าสนใจ อาทิ ปัจจัยในแก้ปัญหาความยากจนและปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน ,ประเทศจีนมีวิธีการปลูกจิตสำนึกในการรับใช้ประชาชนหรือจิตสำนึกของประชาชนและข้าราชการในการแก้ไขปัญหาการทุจริตอย่างไร, ประเทศไทยมีปัญหาหนี้สินครัวเรือน โดยเฉพาะหนี้นอกระบบ ประเทศจีนมีปัญหาดังกล่าวหรือไม่ และมีแนวทางในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างไร, อยากเห็นความร่วมมือกันระหว่างประเทศจีนและประเทศไทยในการแก้ปัญหาความยากจนและการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันที่เป็นรูปธรรมต่อไปในอนาคตนั้น จะมีแนวทางในการดำเนินการอย่างไร ฯลฯ

ทั้งนี้ นายพลเดช ปิ่นประทีป รองประธานคณะกมธ. กล่าวสรุปปิดการสัมมนาโดยได้กล่าวขอขอบคุณท่านเอกอัครราชทูตจีนที่สละเวลามาปาฐกถาพิเศษและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในครั้งนี้ ซึ่งประเทศไทยจะได้นำความรู้และประสบการณ์การแก้ปัญหาความยากจนและการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันจากประเทศจีนมาปรับใช้ในการทำงานต่อไป ซึ่งการสัมมนาในครั้งนี้จะมีการสรุปสาระสำคัญและนำไปเผยแพร่ต่อไป จากที่ได้รับข้อมูลจากท่านเอกอัครราชทูตฯ ทำให้ทราบว่าการแก้ปัญหาความยากจนของประเทศจีนนั้นจะมีการแก้ปัญหาความยากจนและแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นไปพร้อมๆกันทั้งสองทาง เหมือนกับมือสองมือและขาสองขาที่ต้องทำงานสัมพันธ์กันจนประสบความสำเร็จเป็นแบบอย่างของการแก้ปัญหาความยากจนของโลกได้

ที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งคือปัจจัยเรื่องเจตจำนงทางการเมืองและระบบการนำที่เข้มแข็งของพรรคคอมมิวนิสต์จีนและความร่วมมือร่วมใจของประชาชนที่ช่วยเป็นพลังทางสังคมที่ช่วยในการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาของรัฐบาลถึงแม้ประเทศไทยจะมีบริบทที่แตกต่างจากประเทศจีนแต่เราจะนำความรู้และประสบการณ์จากประเทศจีนมาประยุกต์ใช้และสิ่งที่น่าจะเป็นข้อต่อที่สำคัญก็คือสิ่งที่ท่านเอกอัครราชทูตฯได้นำเสนอว่าเราควรจะมีเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันไปเป็นระยะๆ แล้วอาจจะเห็นช่องทางในการที่จะมีโครงการการทำงานร่วมกันต่อไป.