เมื่อวันที่ 7 พ.ย.นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รมช.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า จากกรณีกรมควบคุมโรคและกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้รายงานยอดผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เพิ่มสูงขึ้นในกลุ่มเยาวชนอายุ 15-24 ปี จากร้อยละ 9.5 พุ่งขึ้นเป็นร้อยละ 22.4 ทั้งยังพบว่ามีอัตราการใช้ถุงยางอนามัยครั้งล่าสุดเพียงร้อยละ 80 ทำให้พบการติดเชื้อซิฟิลิส และหนองในเพิ่มสูงขึ้นอีกด้วยนั้น ในประเด็นดังกล่าวกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) มีความห่วงใยปัญหาสุขของเด็กและเยาวชน โดยมอบหมายให้สถานศึกษาทุกสังกัดสร้างความรู้ความเข้าใจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ต่าง ๆ กับนักเรียน โดยใช้เวลาคาบโฮมรูมในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น สร้างทัศนคติที่ดีในการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย ให้เยาวชนเข้าใจว่าไม่ใช่เรื่องน่าอายที่จะพกและใช้ถุงยางอนามัย เพราะจะช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น รวมถึงการตั้งครรภ์ที่ไม่พร้อมอีกด้วย
รมช.ศธ.กล่าวต่อไปว่า ทั้งอยากให้ครูผู้สอนได้ชี้แจงความแตกต่างระหว่างเชื้อไวรัสเอชไอวีและโรคเอดส์ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร โดยมุ่งเน้นสร้างความเข้าใจมากกว่าการปลูกฝังความกลัว สิ่งสำคัญคือเด็กต้องตระหนักถึงความเสี่ยงส่วนบุคคลของตนเอง โดยสามารถส่งเสริมให้เด็กมีส่วนร่วมในการคิดเชิงวิเคราะห์ ด้วยการถามคำถามแทนที่จะพูดคุยเพียงอย่างเดียว เช่น ความเสี่ยงที่อาจทำให้ติดเชื้อมีอะไรบ้าง การมีความสัมพันธ์กับแฟนจะเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อหรือไม่ จะทราบได้อย่างไรว่าแฟนของเราติดเชื้อหรือไม่ เป็นต้น ขณะเดียวกันขอให้ผู้ปกครองควรเป็นที่พึ่งให้กับลูกหลานส่งเสริมให้เด็ก ๆ รู้ว่าสามารถพูดคุยได้ทุกเรื่อง และพร้อมหาทางออกให้กับทุกปัญหาเสมอ เพื่อให้เยาวชนเข้าถึงบริการป้องกัน ดูแลรักษาได้เร็ว ครอบคลุม มุ่งลดการติดเชื้อเอชไอวี และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ นำไปสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดีของเยาวชน
