เมื่อวันที่ 17 พ.ย. นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข กล่าวถึงกรณีเกิดแผ่นดินไหวความรุนแรงขนาด 6.4 ในพื้นที่ จ.เชียงตุง รัฐฉาน ประเทศเมียนมา เมื่อช่วงเช้าวันนี้ ว่า การเกิดแผ่นดินไหวในครั้งนี้ สามารถรับรู้แรงสั่นสะเทือนได้ถึงหลายพื้นที่ในประเทศไทย เบื้องต้นได้รับรายงานผลกระทบใน 3 จังหวัด ได้แก่ 1.เชียงราย มีหน่วยบริการสาธารณสุขได้รับผลกระทบ จำนวน 11 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ โรงพยาบาลแม่ลาว โรงพยาบาลสมเด็จพระญาณสังวร โรงพยาบาลแม่จัน โรงพยาบาลพาน โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเชียงของ โรงพยาบาลเชียงแสน โรงพยาบาลพญาเม็งราย โรงพยาบาลดอยหลวง โรงพยาบาลแม่ฟ้าหลวง และโรงพยาบาลแม่สาย ส่วนใหญ่พบปัญหามีรอยร้าว รอยแยกหลายจุดทั้งภายในและภายนอกอาคาร แต่ไม่ได้มีผลกระทบโครงสร้างหลัก โดยโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ปิดบริการบางส่วนที่ตึกกุมารเวช โดยย้ายผู้ป่วยไปที่ตึกสงฆ์แทน ได้กำชับให้สำรวจโครงสร้างหลักตึกสูงอย่างละเอียด โดยให้สาธารณสุขนิเทศก์และเจ้าหน้าที่กองวิศวกรรมการแพทย์ สำนักงานสนับสนุนบริการสุขภาพที่ 1 เชียงใหม่ ลงพื้นที่ตรวจสอบเพิ่มเติม

นพ.ชลน่าน กล่าวต่อว่า 2.เชียงใหม่ มีรายงานความเสียหาย 2 แห่ง ที่โรงพยาบาลสันทราย อาคารมีรอยร้าวเพิ่มหลายจุด และรอยร้าวเดิมเพิ่มความยาวขึ้น และโรงพยาบาลเชียงดาว พบรอยร้าว 1 แห่งที่ห้องยา สำนักงานสนับสนุนบริการสุขภาพที่ 1 เชียงใหม่ จะเข้าตรวจสอบและประเมินความเสียหายเช่นกัน โดยทั้งสองแห่งเปิดบริการตามปกติ และ 3.สกลนคร ตึกอุบัติเหตุฉุกเฉิน 9 ชั้น เกิดการสั่นไหวและมีรอยร้าว ได้เคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกจากตึก และประกาศปิดบริการอาคารดังกล่าวทั้งหมด งดให้บริการผู้ป่วยนอก กรณีผู้ป่วยฉุกเฉินให้ส่งโรงพยาบาลใกล้เคียงหรือรับบริการที่ ตึกรังสีรักษา ก่อนชั่วคราว เบื้องต้นทีมโยธาธิการของจังหวัดได้ตรวจสอบโครงสร้างพบว่าน่าจะไม่มีปัญหา อย่างไรก็ตาม ทีมช่างจากส่วนกลางจะเข้าตรวจสอบอีกครั้งช่วงสุดสัปดาห์นี้ สำหรับจังหวัดอื่นๆ ที่ได้รับแรงสั่นไหว แต่ไม่ได้รับผลกระทบมี 6 จังหวัด ได้แก่ ลำปาง แม่ฮ่องสอน พิจิตร ชัยนาท กำแพงเพชร และอุทัยธานี

พญ.อัจฉรา นิธิอภิญญาสกุล อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า กรมอนามัยได้มอบหมายให้ทีมปฏิบัติการทีม SEhRT ของศูนย์อนามัย ร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ ประเมินผลกระทบทางสุขภาพและความเสียหายด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมในสถานบริการสาธารณสุขที่เสียหายและชุมชน ได้แก่ ความปลอดภัยอาคาร ระบบออกซิเจน ระบบไฟฟ้าและไฟฟ้าสำรอง ระบบสาธารณูปโภค ระบบบำบัดน้ำเสีย และเร่งเฝ้าระวังด้านสุขาภิบาล เช่น การปนเปื้อนสารเคมีในน้ำจากระบบบำบัดน้ำเสียโรงพยาบาลที่เสียหาย การปนเปื้อนของฝุ่นละอองที่เกิดจากอาคารพังทลายเสียหาย เป็นต้น สำหรับประชาชนให้เร่งสื่อสารสร้างความรอบรู้เพื่อลดผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน คือ 1. ติดตาม รับฟังข่าวสารจากหน่วยงานภาครัฐ เมื่อเกิดเหตุให้ตั้งสติ และเตรียมพร้อมอพยพ 2. กรณีอาศัยอยู่ภายในบ้าน ให้หมอบลงที่พื้นใต้โครงสร้างอาคารแข็งแรง ป้องกันสิ่งของจากเพดานหรือที่สูงหล่นใส่ 3.กรณีเปิดแก๊สประกอบปรุงอาหาร ให้หยุดการทำกิจกรรมดังกล่าว และปิดแก๊สโดยทันที

4. กรณีอยู่ในอาคารสูง คอนโดฯ อพาร์ตเมนต์ให้เตรียมอพยพหากมีความรุนแรงต่อเนื่อง ให้รีบออกจากอาคารทันที โดยใช้ทางหนีไฟ ห้ามใช้ลิฟต์โดยสารเด็ดขาด เมื่อพ้นจากอาคาร ให้ออกไปให้ห่างจากตัวอาคารให้มากที่สุด และต้องคำนึงถึงบุคคลในบ้านที่เป็นกลุ่มเปราะบาง กลุ่มเสี่ยงทางสุขภาพควรเตรียมหาทางพาออกจากพื้นที่โดยเร่งด่วน 5. ออกห่างจากหน้าต่าง และประตู โดยเฉพาะกระจก ป้องกันอันตราย และลดความเสี่ยงการบาดเจ็บ หรือเสียชีวิตจากกรณีตัวโครงสร้างที่ถูกทำลายจากแผ่นดินไหวรุนแรง 6. กรณีที่อยู่นอกตัวอาคารอยู่แล้ว ห้ามเข้าไปในอาคาร และสังเกตจุดที่ยืนหลบภัย ต้องไม่มีสิ่งปลูกสร้างสูง ป้ายโฆษณา ต้นไม้ เสาไฟฟ้า โดยรอบ เพื่อป้องกันการถล่มหรืออุบัติเหตุ และ 7. เตรียมเก็บสิ่งของที่จำเป็นให้พร้อม สามารถหยิบออกมาได้ทันที

“ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์การเกิดแผ่นดินไหวอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงกลุ่มเปราะบาง ได้แก่ ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก หญิงตั้งครรภ์ ให้ดูแลและเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ให้สังเกต ทำความคุ้นเคยทางออกฉุกเฉิน หรือทางหนีไฟที่ใกล้ตัวที่สุด หากเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว จะได้สามารถหนีออกมาได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย ลดความเสี่ยงการสูญเสีย บาดเจ็บ และเสียชีวิต” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว.