นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ The time act is now ในงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 41 โอกาสครบรอบ 90 ปี หอการค้าไทยว่า สิ้นเดือนพ.ย.นี้ รัฐบาลจะเปิดแถลงข่าวใหญ่เกี่ยวกับปัญหาหนี้สินของประชาชน เนื่องจากปัญหาหนี้นอกระบบถือเป็นเรื่องใหญ่ได้กัดกร่อนสังคมไทยมาอย่างยาวนาน ทำให้เกิดปัญหาอาชญากรรม เป็นความขมขื่นของประชาชน ซึ่งรัฐบาลนี้จะต้องเร่งแก้  บางรายเป็นหนี้นอกระบบ ทำงานเพื่อจ่ายดอกเบี้ยอย่างเดียวก็ยังไม่หมด  เบื้องต้นจะให้นายอำเภอ ตำรวจ ผู้กำกับในพื้นที่เป็นตัวกลางในการเจรจาไกล่เกลี่ยระหว่างลูกหนี้กับเจ้าหนี้ เพราะการเรียกเก็บดอกเบี้ยที่สูงเกินกฎหมาย และลูกหนี้ต้องรับภาระหนี้จ่ายไม่จบไม่สิ้น

“หนี้ที่รัฐบาลกำลังแก้ไข เราไม่ได้ดูในระบบอย่างเดียว เราดูหนี้นอกระบบเป็นเรื่องสำคัญ ได้ปรึกษากับกระทรวงมหาดไทย จะออกนโยบายมา ที่เคยใช้มาในอดีต คือ  ให้นายอำเภอ หรือตำรวจในพื้นที่เรียกเจ้าหนี้ลูกหนี้มาเจรจาไกล่เกลี่ย เพราะหนี้นอกระบบดอกเบี้ยสูงเกิน เช่น เป็นหนี้อยู่หนึ่งแสน แต่เจอดอกเบี้ยเข้าไป ใช้ไป 3 แสนแล้วก็ยังไม่หมด ต้องเรียกมาเจรจา เพราะชาร์จอัตราดอกเบี้ยเกินกว่ากฎหมายกำหนด เป็นการกระทำผิดกฎหมาย หนี้ที่มีอยู่ต้องยกเลิกกันไป เป็นนโยบายหลักของรัฐบาลนี้ ต้องเกิดขึ้นให้ได้ เป็นการทำงานร่วมกันของกระทรวงการคลัง ฝ่ายความมั่นคง และฝ่ายการปกครอง”   

ส่วนโครงการดิจิทัล วอลเล็ต มีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ซึ่งปัจจัยหลักเหลือแค่เร่งด่วนจำเป็นหรือไม่ วิกฤติหรือไม่ มีบางคนเห็นว่า ไม่เร่งด่วนไม่จำเป็นไม่วิกฤติ แต่รัฐบาลนี้เห็นว่าเป็นเรื่องที่จำเป็นและเร่งด่วน เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจอยู่ในสภาวะวิกฤติ แต่หากระบุว่า ถ้าวิกฤติอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ต้องติดลบก็พูดถูกถ้าแบบนั้น แต่ไทยไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก  เราอยู่บนโลกของการแข่งขันที่สูงมาก ย้อนกลับไปดูจีดีพีของประเทศคู่แข่งของเราโดยเฉพาะ เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ตัวเลขการขยายตัวของเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้เท่าไรในปีที่ผ่าน เมื่อเปรียบเทียบกับไทย แต่ตนเชื่อว่าไทยสามารถไปได้อีก

“9-10 ปีที่ผ่านมาตัวเลขจีดีพีไทยเฉลี่ยต่ำกว่า 2% จึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลนี้ที่อาสาเข้ามาแก้ปัญหาแล้วต้องทำให้ได้ ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมารัฐบาลจัดการไปแล้วทั้งมาตรการพักหนี้เกษตรกร ลดค่าไฟ ค่าน้ำมัน รวมไปถึงการฟรีวีซ่าให้กับหลายประเทศ ถือเป็นมาตรการเร่งด่วนที่เราดำเนินการ ซึ่งรัฐบาลนี้รัฐมนตรีทุกคนทำงานหนักลงรายละเอียดทุกเม็ด เพื่อทำให้เกิดผลทางเศรษฐกิจ โครงการดิจิทัลก็เป็นนโยบายหนึ่งของรัฐ”  

อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาตนเดินทางไปต่างประเทศหลายประเทศทั้งในอาเซียนและสหรัฐ ล่าสุดก็ไปร่วมประชุมเอเปค ซึ่งทุกประเทศอยากมาลงทุนในไทย เป็นที่ประจักษ์ว่าประเทศไทยเป็นที่ต้องการของชาวโลก ทุกคนอยากมาลงทุนในประเทศไทย หรืออย่างน้อยก็มีประเทศไทยเป็นตัวเลือก โดยการเดินทางไปต่างประเทศประเทศไทยไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายใดแต่มาเพื่อค้าขาย มีมาตรการต่างๆ มากมายที่จะรองรับนักลงทุน เช่น มาตรการด้านภาษี แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เรื่องมาตรการความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ)  ประเทศไทยมีการเจรจาเรื่องนี้น้อยมาก ยังล้าหลังเมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่างมาก ดังนั้นเรื่องนี้จะเป็นอีกหนึ่งประเด็นหลักที่รัฐบาลจะเดินหน้าเรื่องนี้กับนานาประเทศ

“ลมปากอย่างเดียวไม่สามารถดึงดูดให้นักลงทุนมาลงทุนได้ แต่ต้องเดินทางไปพูดคุยและเจรจาและทุกฝ่ายต้องช่วยกัน แม้หลายคนอาจจะมองว่าการไปประชุมเอเปคไทยประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง แต่ผมไม่มองอย่างนั้น ประเทศไทยสามารถก้าวไปได้อีก ส่วนการพัฒนาเมืองรอง ตามข้อเสนอของหอการค้าไทยนั้น รัฐบาลพร้อมสนับสนุน แต่จะทำแบบนั้นได้ต้องอาศัยหลายปัจจัย รัฐบาลจึงต้องมีการลงทุนโดยเฉพาะเรื่องของการคมนาคม มีการขยายสนามบินในพื้นที่เมืองรอง จึงอยากให้ภาคเอกชนเสนอว่าต้องการการสนับสนุนอะไรจากรัฐบาล ยืนยัน การพัฒนาเมืองรองเป็นนโยบายหลักของรัฐบาลนี้จะทำให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้”