เมื่อวันที่ 29 พ.ย. นายสมฤกษ์ ตั้งคารวคุณ หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ และคณะพนักงานสอบสวน กองกิจการต่างประเทศและคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ศูนย์สืบสวนสะกดรอยและการข่าว สนธิกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่ทหาร นำหมายค้นเข้าทำการตรวจค้นบ้านพัก 1 หลังในพื้นที่ต.ศรีดอนมูล อ.เชียงแสน จ.เชียงราย เพื่อทำการจับกุม นายฉัตรมงคล (สงวนนามสกุล) และน.ส.มณีรัตน์ (สงวนนามสกุล) สองสามีภรรยา ผู้ต้องหาตามหมายจับ ข้อหา ร่วมกันปลอมและใช้เอกสารปลอม และร่วมกันฉ้อโกงประชาชน

สืบเนื่องจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้รับการร้องทุกข์กล่าวโทษจากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลว่ามีผู้จัดทำเอกสารปลอม โฆษณาผ่านทางเฟซบุ๊กและโซเชียลมีเดีย ใช้ชื่อและใช้ตราสัญลักษณ์ของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เพื่อแอบอ้างให้ประชาชนหลงเชื่อว่าหากสมัครสมาชิกจะได้รับเลขล็อกจากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลและถูกรางวัล 100 % หากไม่ถูกยินดีคืนเงิน โดยมีค่าสมัครสมาชิกตั้งแต่ 600 – 1,200 บาทต่อครั้ง แม้เงินที่หลอกลวงแต่ละครั้งจะไม่สูงมากแต่เน้นปริมาณในการหลอกคนจำนวนมาก เมื่อรวมแล้วภายในระยะเวลา 1-2 ปี มูลค่าความเสียหายหลายสิบล้านบาท โดยพบว่ามีผู้เสียหายทั่วประเทศกว่า 3,000 ราย

จากการตรวจค้นพบของกลางที่ใช้ในการกระทำความผิดหลายรายการ อาทิ โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ บัตรเอทีเอ็ม สมุดบัญชีเงินฝากธนาคาร เป็นต้น นอกจากนี้ผู้ต้องหาให้การว่า ได้เรียนรู้วิธีการกระทำความผิดจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นเครือข่ายเดียวกับกลุ่มเว็บพนันออนไลน์ จึงเชื่อว่ายังมีกลุ่มผู้กระทำความผิดในลักษณะเดียวกันนี้อีกหลายกลุ่ม ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษจะได้ทำการสืบสวนขยายผลเพื่อปราบปรามการกระทำความผิดต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ในช่วงที่ผ่านมา กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้มีการจับกุมผู้ต้องหาสำคัญหลายราย อาทิ นายวาทิน (สงวนนามสกุล) สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลกองดิน จ.ระยอง ที่แอบอ้างเป็น ผอ.สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล หลอกให้ประชาชนโอนเงินซื้อเลขล็อก มูลค่าความเสียหายกว่า 10 ล้านบาท และนายจาตุรงค์ (สงวนนามสกุล) ในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนและความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ มูลค่าความเสียหายกว่า 40 ล้านบาท และการตรวจค้นบ้านพักของนายจาตุรงค์ พบทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดจำนวนมาก ทั้งบ้านและที่ดิน รถยนต์ BMW Z4 เงินสด สิ่งของแบรนเนมด์และทรัพย์สินอื่น รวมมูลค่าประมาณ 20 ล้านบาท โดยปัจจุบันทั้งสองคดี ศาลอาญาได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดจำคุกผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย รวม 20 ปี.