จากกรณีวานนี้ (14 ส.ค.) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง จอมแฉชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความสปอยล์ผ่านบัญชีเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุใจความว่า “ภารกิจแฉเพื่อชาติใกล้ถึงจุดหมายปลายทาง วันพรุ่งนี้ก็เป็นเพียงอีกวันสำหรับผม แต่จะเป็นวันพิพากษาที่ประชาชนได้รู้ความจริง” ตามที่มีการนำเสนอข่าวไปแล้วนั้น

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 15 ส.ค. ที่เดอะล็อบบี้ โรงแรมเดวิส สุขุมวิท 24 กรุงเทพฯ นายชูวิทย์ เริ่มต้นด้วยการพานายวรัญชัย โชคชนะ นักกิจกรรมทางการเมือง และอดีตผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ เดินเข้ามาภายในห้องแถลงข่าว พร้อมใช้ปี๊บคลุมหัว ระบุข้อความ “นายกฯ ดิจิทัล” ก่อนเริ่มต้นกล่าวว่า วันนี้จะขอพูดถึงที่ดินแปลงทองหล่อ ว่าแสนสิริได้มานั้น มีที่มาอย่างไรบ้าง และการที่ตนพูดวันนี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องการเมืองไม่มีเตะหมูเข้าปากหมา ตนเป็นประชาชนที่จะต้องวิพากษ์วิจารณ์ได้ เพราะการวิพากษ์วิจารณ์มีการรับรองในรัฐธรรมนูญ อีกทั้ง ตนยังมีเอกสารคำฟ้องศาลสำหรับฟ้องร้องต่อนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย และนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความนายเศรษฐา ในข้อหาหมิ่นประมาทและแจ้งความเท็จ คิดค่าเสียหายแค่ 90,000 บาท ไม่ใช่ 500 ล้านบาท คำนวณแล้วตกวันละหมื่นบาท และตนเป็นเพียงบุคคลสาธารณะ แต่ว่าที่นายกรัฐมนตรี ประชาชนย่อมมีสิทธิวิพากษ์วิจารณ์ตามรัฐธรรมนูญ รวมถึงตนก็ยังไม่เคยวิพากษ์เรื่องส่วนตัวของนายเศรษฐา และไม่เคยแตะต้องพรรคเพื่อไทยด้วย

นายชูวิทย์ กล่าวถึงกระบวนการ ปั่น บวมเงิน ตัดตอน ว่า เริ่มต้นที่จำนวนที่ดิน 9 โฉนด ภายหลังเป็นคอนโดฯ หรู Khun by YOO ส่วนอีก 1 โฉนด เหลือเป็นที่ดินเปล่าภายในซอยทองหล่อ 12 อย่างไรก็ตาม ที่ดินแปลงทองหล่อนี้ เดิมเป็นของ นพ.น แพทย์ประจำโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 51 บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ซื้อ บริษัทลูกทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท จากนั้นวันที่ 5 เม.ย. 55 ดำเนินการจดจำนองกับแบงค์แห่งหนึ่ง จำนวน 465 ล้านบาท (หนี้) ถัดมาวันที่ 11 ก.พ. 58 บริษัทลูก ขายหุ้นบริษัท 100 ล้านบาท โดยมีขั้นตอนการตัดตอนให้เป็นบริษัทนอมินี ที่มี น.ส.พ ถือหุ้น 99.99% นาย ส ถือหุ้น 0.0001% และนาย พ ถือหุ้น 0.0001% จากนั้นได้ไปขอกู้เงินกับบริษัทแห่งหนึ่ง จำนวน 1,000 ล้านบาท (บริษัทลูกของแสนสิริและนายเศรษฐา มีชื่อเป็นกรรมการบริษัทลำดับที่สอง) เพื่อนำเงินไปปลอดจำนอง 465 ล้านบาทดังกล่าว ทำให้ น.ส.พ ได้กำไรจากเงินกู้ หลังปลอดจำนองที่ดิน และซื้อหุ้นจากเจ้าของเดิมในจำนวน 435 ล้านบาท

ดังนั้น เงินทอนส่วนนี้หายไปไหนเข้ากระเป๋าของใคร นอกจากนี้ ในวันที่ 24 พ.ค. 60 บริษัทลูก ได้มีการเปลี่ยนผู้ถือหุ้นจาก น.ส.พ และนาย ส เป็นนาย ย ซึ่งก็มีอาชีพเป็น รปภ.ของบริษัทแห่งหนึ่ง ข้อมูลการเสียภาษีล่าสุดมีการยื่นเมื่อปี 2560 หลังจากนั้นไม่พบข้อมูลการยื่นภาษีอีก และภูมิลำเนาเป็นคนจังหวัดสกลนคร ก่อนที่บริษัทลูก จะถูกทิ้งร้างในปี 2558 เพราะไม่มีการส่งงบของบริษัท โดยในพฤติการณ์เช่นนี้ ตนถอดดีเอ็นเอนายเศรษฐาได้คนเดียว เพราะไม่ได้ทำที่นี่เป็นที่แรก

นายชูวิทย์ กล่าวอีกว่า เหตุใด บ.แสนสิริ จึงให้ น.ส.พ กู้เงินซื้อที่ดินทองหล่อถึง 1,000 ล้านบาท ทั้งๆ ที่มีอาชีพแม่บ้านเท่านั้น ข้อมูลการเสียภาษีก็ไม่พบทั้งข้อมูลการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ดังนั้น 435 ล้านบาทหายไปไหนส่วนนาย ส ก็มีอาชีพ รปภ. ภูมิลำเนาบ้านอยู่ที่ จ.ร้อยเอ็ด ส่วนการยื่นเสียภาษีล่าสุดพบเมื่อปี 2560 หลังจากนั้นไม่พบกันยื่นข้อมูลการเสียภาษีอีก ดังนั้น นายเศรษฐาจะพูดอีกหรือไม่ว่าตัวเองเซ็นอย่างเดียว ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร ทั้งๆ ที่จริงคนเหล่านี้ล้วนเป็นนอมินีให้ ตนจึงตั้งคำถามว่าทำไมไม่ซื้อตรงเลย แต่กลับให้ไปจัดตั้งนอมินีแล้วให้คนเหล่านี้ไปกู้เงิน ทำการซื้อที่ดินแปลงทองหล่อ นี่คือสิ่งโสมมที่ให้บริษัทลูก หรือ การเอาเงินของผู้ถือหุ้นแสนสิริมาใช้ หนี้มันแค่ 565 ล้านบาท แต่ให้กู้ 1,000 ล้านบาท เงินทอน 435 ล้านหาย ดังนั้น ถ้านายทักษิณมีพฤติกรรมซุกหุ้น นายเศรษฐาก็คือโกงหุ้นนั่นเอง

นายชูวิทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กฎของนายเศรษฐาคือให้ทุกคนกู้ได้หมด ทั้งแม่บ้าน ทั้ง รปภ. เพราะมีตัวอย่างแล้ว หากใครเดินไปทองหล่อไม่ต้องมีเครดิตอะไร เเล้วถ้าต้องการไปซื้อที่ดินแปลงใด ก็ให้ไปหาแสนสิริเพื่อขอกู้ จากนั้นเอาเงินไปจ่าย เงินที่เหลือเอาเก็บใส่กระเป๋าไป อย่างไรก็ตาม หากสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ได้รับชุดข้อมูลจากตนในวันนี้แล้ว ขอให้พิจารณาเรื่องการโหวตนายกรัฐมนตรีได้ เพราะที่ผ่านมา ไม่เคยมีที่ดินแปลงใดที่แสนสิริซื้อตรง มีแต่ตั้งมอมินีไปดักซื้อกลางทาง อีกทั้งตนขอให้โอกาสนายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ให้โทรฯ บอกนายที่อยู่แดนไกลว่า นายเศรษฐา วันที่ 18 ส.ค. นี้ คงไม่ไหวแล้ว ถ้ายังไหว ชูวิทย์คงพูดต่ออีก เพราะนายเศรษฐาโดนแฉว่าให้ รปภ. กับแม่บ้านกู้เงิน 1,000 ล้านบาท และอุ๊งอิ๊งก็คงไม่ไหว นายชัยเกษมก็ไม่ไหว และที่ตนพูดในกรณีนี้ ก็พูดโดยมีหลักฐานทั้งหมด พร้อมอยู่สู้ทุกชั้นศาล ไม่ว่าจะศาลฎีกาก็ตาม ตนจะฉีดยาฆ่ามะเร็งเพื่อขอสู้ต่อไป

นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่านายชูวิทย์ ยังได้มีการโชว์แก้วที่ภายในบรรจุน้ำสีเหลือง พร้อมระบุว่า พวกคุณกินมินต์ช็อก ประชาช็อก ส่วนตนก็กินมินต์ฉี่แทน นายชูวิทย์ ยังกล่าวต่อว่า ตนได้ตามไปที่สหรัฐอเมริกา พบว่ามีบุคคลสำคัญที่อยู่ข้างกายนายเศรษฐา โดยชื่อที่ชาวต่างชาติเรียก คือ Mr.T หรือขงเบ้ง หรือ นายทศพงศ์ คนนี้ซื้อโรงแรมห้าดาวได้ เป็นบุคคลข้างกายและเป็นนายทุนให้นายเศรษฐา พร้อมมองว่ารัฐบาลนายเศรษฐาจะเป็นรัฐบาลนอมินี รัฐบาลดิจิทัล ซ่อนเร้น อำพราง ปิดบัง เพราะการที่ไม่กล้าใช้บริษัทตัวเองซื้อตรง ใช้นอมินีไปซื้อ จะปฏิเสธอีกหรือไม่ว่าไม่รู้ทั้งเรื่องแปลงที่ดินทองหล่อ สุขุมวิท สารสิน การกระทำของนายเศรษฐา สร้างเคลือบแคลงน่าสงสัย ไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งต่อการเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ขอเตือนให้ถอยตั้งแต่วันนี้ แม้มาด้วยรถไฟขบวนความเร็วสูง แต่ตนมองว่าพรรคเพื่อไทยยังมีคนที่มีความรู้ความสามารถอีกมาก อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาหลังจากตนแฉนายเศรษฐาและแสนสิริ ปรากฏมีผู้ใหญ่โทรศัพท์มาตลอดให้ตนงดพูดเรื่องนี้ แลกกับการที่เรื่องของตนจะไม่ถูกพูด ตนบอกเลยว่าพูดไปได้เลย ตนไม่ใช่คนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่กลัว แต่นายกรัฐมนตรี จะต้องมีคุณสมบัติที่เหมาะสม

ทั้งนี้ นายชูวิทย์ ยังระบุทิ้งท้ายว่า หลังจากนี้ ตนจะไปยื่นเอกสารต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อขอให้ตรวจสอบธรรมาภิบาลของ บ.แสนสิริ และจะนำข้อมูลไปยื่นให้สมาชิกวุฒิสภา ช่วยตรวจสอบคุณสมบัตินายเศรษฐา โดยตนจะเดินทางไปที่รัฐสภา ยื่นหนังสือผ่านประธานรัฐสภา เพราะเชื่อว่าข้อมูลชุดนี้จะถูกขยายผลแน่นอน.