เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์, นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ, นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการ กสทช. รักษาการเลขาธิการ กสทช., พล.ต.ต.นิเวศน์ อาภาวศิน รองผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พร้อมด้วย ผู้บริหารเอไอเอส และ ทรู แถลงข่าวร่วมกันเรื่องมาตรการจัดการซิมม้าแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์

นายภูมิธรรม กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยประชาชนที่ถูกหลอก จึงมีข้อสั่งการ ให้รัฐบาลดำเนินการเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน โดยให้กระทรวงดีอี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ กสทช. เร่งดำเนินการ เพื่อนำความมั่นใจของประชาชนต่อระบบไซเบอร์ของประเทศกลับคืนมา พร้อมทั้งได้ประชุมกับ กสทช. อย่างต่อเนื่อง เพื่อขับเคลื่อนและแก้ไขปัญหาดังกล่าว 

นายประเสริฐ รมว.ดีอี กล่าวว่า รัฐบาลจะมีการใช้ พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 มาตรา 4  เพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ในกรณีที่มีเหตุอันควรสงสัยว่า มีหรืออาจมีการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เพื่อใช้บังคับให้ผู้ถือครองซิมการด์เกิน 5 เลขหมายต้องมาจดแจ้งกับผู้ให้บริการมือถือ (โอเปอเรเตอร์) ใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ 9 ธ.ค. ไม่เช่นนั้นหลังวันที่ 11 ม.ค.67 จะถูกระงับใช้งาน และกรณีเบอร์ที่ต้องสงสัยว่าเป็นมิจฉาชีพ หรือมีการโทรออกเกิน 100 เบอร์ต่อวัน จะมีการสั่งระงับการใช้ทันทีเช่นกัน ซึ่งหากเจ้าของเบอร์ไม่ใช่มิจฉาชีพสามารถมาแสดงหลักฐานการใช้งานได้ เพื่อทำการเปิดใช้งานต่อได้

“การนำพ.ร.ก.ดังกล่าวมาบังคับใช้ทันที เพราะไม่สามารถรอการออกประกาศของ กสทช.ที่มีกระบวนการอย่างน้อยอีก 30 วันได้ นายกฯ ได้ส่งการให้ดำเนินการทันทีเพราะประชาชนได้รับความเดือดร้อนมาก  ซึ่งข้อมูลจากศูนย์ AOC พบว่า ตั้งแต่วันที่ 9-11 ธ.ค. มีเบอร์ทั้งสิ้น 12,500 เบอร์ และจะทำการพักใช้ทุกเบอร์ทันทีในวันนี้ และตอนนี้มี 6 ล้านเลขหมายที่ขึ้นทะเบียนแบบไม่ถูกต้องเข้าข่ายผิดกฎหมาย และอยากเร่งรัดผู้ถือครองซิมมายืนยันตัวตนภายใน 30 วัน หากไม่มาดำเนินการ เราจะระงับการโทรออก และให้รับสายได้อย่างเดียว ซึ่งทางโอเปอเรเตอร์พร้อมให้ความร่วมมือกับรัฐเต็มที่” นายประเสริฐ กล่าว