เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดดราม่าเดือดในโลก X (ทวิตเตอร์เดิม) อันเนื่องมาจากความ “สวยกินคน” ของ ต้าเหนิง-กัญญาวีร์ สองเมือง เป็นเหตุ โดยต้นเรื่องเกิดจากการที่นักแสดงสาวโพสต์รูปอุ้มน้องแมวสุดน่ารักลงในไอจี ด้วยลุคสวยฉ่ำเว่อร์ จนแฟน ๆ ต่างถามหาพิกัดเมคอัพที่ ต้าเหนิง ใช้ ต่อมาเมคอัพ อาร์ติสต์ ที่เนรมิตความงามให้ ต้าเหนิง ก็ได้เฉลยเองว่าลุคนี้ของนักแสดงสาวใช้แบรนด์อะไรบ้าง

แต่ดราม่ามันมาเกิดตรงที่มีแอคเคานท์ใน X รายหนึ่ง ซึ่งมียอดผู้ติดตามจำนวนมาก ได้โพสต์ว่า “มาสยามกะจะมาตำลิปต้าเหนิง พลังโซเช่วรุนแรง หมดเกือบเกลี้ยงทั้งเชลฟ์ เหลือแค่เบอร์ 302 ที่สีออกม่วงตุ่น ต้าเหนิงลุคนี้นางสวยกินคนจี ๆ” พร้อมแนบแบรนด์ลิปดังกล่าว และโควทข้อความแอคเคานท์ที่บอกพิกัดของลิปที่ ต้าเหนิง ใช้ โดยแนบรูปภาพของนักแสดงสาวในลุคนั้น ๆ พร้อมภาพแบรนด์ลิปและสวอชสีลิป ต่อมาช่างที่แต่งหน้า ต้าเหนิง ก็ได้ออกมาทวีตให้ลบโพสต์ดังกล่าว และขู่ฟ้องโดยไม่ได้บอกเหตุผลที่ให้ลบชัดเจน ซึ่งมีใจความว่า ขอแจ้งทุกช่องทางที่ลง ที่กล่าวถึงบุคคลใด และใช้รูปในเชิงพาณิชย์ ได้แคปและรวบรวมไว้หมดแล้ว หวังว่าจะขอความร่วมมือ แก้ไขและลบโพสต์ด้วย ซึ่งประเด็นนี้ทำเอาคนโพสต์และชาวเน็ตงงหนักมาก โดยทางแอคเคานท์ที่อยากตำลิปตาม ต้าเหนิง ก็ได้ลบโพสต์นั้นทิ้ง และยืนยันเป็นเพียงผู้บริโภค ไม่ได้แปะลิงก์ Affiliate เชิงพาณิชย์ หรือรับเงินแบรนด์ไหนมา ซึ่งการที่ถูกขู่ฟ้องเช่นนี้จึงทำให้เธอไม่เข้าใจมาก ๆ และไม่โอเค

เหตุการณ์ดังกล่าวกลายเป็นที่วิจารณ์กว้างขวางเป็นไฟลามทุ่ง ชาวเน็ตแสดงความคิดเห็นในหลากหลายทัศนะ ส่วนนึงเข้าใจว่าที่ต้องให้ลบโพสต์เกี่ยวกับการบอกพิกัดแบรนด์ลิปสติกที่ ต้าเหนิง ใช้ อาจเป็นเรื่องของตัวนักแสดงเองนั้นมีมูลค่าทางการตลาด ทั้งในแง่ของการเป็นอินฟลูเอนเซอร์ พรีเซ็นเตอร์ ซึ่งการที่ภาพของ ต้าเหนิง ถูกแปะคู่กับแบรนด์ลิปนั้น ๆ ก็ไม่ต่างกับการที่เธอประชาสัมพันธ์ให้แบรนด์ดังกล่าวโดยปริยาย และอาจกลายเป็นภาพจำ ซึ่งจะตัดโอกาส ต้าเหนิง ในการรับงานเครื่องสำอางแบรนด์อื่น ๆ หรือซ้ำร้ายกว่านั้น หาก ต้าเหนิง เป็นพรีเซ็นเตอร์แบรนด์เครื่องสำอางอื่นอยู่แล้ว การที่ใบหน้าของเธอไปปรากฏคู่กับแบรนด์สินค้าที่ไม่ใช่แบรนด์ที่เธอร่วมงานหรือเป็นพรีเซ็นเตอร์ ประเด็นนี้จะกลายเป็นเรื่องใหญ่มากทันที อาจนำไปสู่ข้อการผิดสัญญา จนถึงขั้นถูกปรับ หรือโดนปลดได้เลยทีเดียว

นอกจากนี้ยังมีกรณีที่มีบางแอคเคานท์อาจนำรูปของ ต้าเหนิง ดังกล่าว ไปใช้ในเชิงพาณิชย์จริง ด้วยการแปะพิกัดลิปพร้อมลิงก์ Affiliate ของเว็บขายของออนไลน์ เพื่อสร้างรายได้ให้ตัวเอง ซึ่งกรณีของ ต้าเหนิง นั้นต่างจากกรณีของ เจนี่ อัลภาชน์ ณ ป้อมเพชร ที่เคยออกงานอีเวนต์ด้วยลุค สาย ฝ. ปากสีนู้ดน้ำตาลสวยฉ่ำมงลง จนคนถามพิกัดลิปสติกกันเป็นแถวเช่นกัน และครั้งนั้นช่างที่แต่งหน้าให้ เจนี่ ก็ได้เฉลยว่าเป็นลิปจากแบรนด์ลอรีอัล ที่ เจนี่ นั่งแท่นพรีเซ็นเตอร์อยู่! ซึ่งเท่ากับ เจนี่ ได้ทำการพรีเซ็นต์แบรนด์ที่เธอร่วมงานไปในตัวนั่นเอง

อย่างไรก็ดี มีชาว X อีกส่วนหนึ่ง ที่มองว่าเรื่องดังกล่าว ต้นเรื่องก็มาจากที่ช่างแต่งหน้าเผลอเฉลยแบรนด์ลิปเอง แต่กลับมาไล่บอกให้คนอื่นลบโพสต์ อีกทั้งยังขู่ว่าจะฟ้อง โดยไม่บอกเหตุผลชัดเจน ซึ่งหากช่างแต่งหน้าไม่เปิดวาร์ปแบรนด์แต่แรก ก็ไม่มีใครรู้ อีกทั้งคนทั่วไปก็ไม่ได้รู้ว่า ต้าเหนิง นั้นติดพรีเซ็นเตอร์อะไรอยู่บ้าง นอกจากนี่ยังมองว่า วิธีพูดของช่างแต่งหน้านั้นไม่โอเค และสามารถสื่อสารดีกว่านี้ได้ งานนี้เลยทำให้ทัวร์ไปลงที่ช่างแต่งหน้าอยู่ไม่น้อย ก่อนที่ ต้าเหนิง จะพูดในมุมของเธอว่าเรื่องดังกล่าวกระทบกับทางแบรนด์ลูกค้าที่กำลังพูดคุยอยู่ แต่ก็เคลียร์จบภายใน เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะเธอเองก็ไม่รู้ว่าช่างแต่งหน้าใช้แบรนด์อะไรแต่งให้ เพียงแต่งตามลุคเท่านั้น แต่ในพาร์ตส่วนตัวเธอก็ใช้อีกแบรนด์ ซึ่ง ต้าเหนิง ไม่ได้คิดจะไปฟ้องใครอยู่แล้ว ส่วนเรื่องการเทียบเครื่องสำอางเพื่อใช้ตามนั้น เธอเข้าใจว่าเป็นเรื่องของผู้บริโภคและเป็นสิ่งที่เหนือการควบคุม

ต้องบอกว่าเรื่องดังกล่าวนั้นเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อน จะว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็อาจตัดสินลำบาก เพราะแอคเคานท์ที่เป็นต้นโพสต์อยากใช้ลิปตาม ต้าเหนิง ก็เพียงแค่โพสต์ในสิ่งที่ตัวเองเห็นว่าสวยและอยากตำตาม โดยไม่ได้มีเจตนาเชิงการค้า ขณะเดียวกันรูป ต้าเหนิง ที่นำมาโพสต์ส่วนหนึ่งเลยอาจเป็นลิขสิทธิ์ของช่างแต่งหน้า การเผยแพร่ในแอคเคานท์ส่วนตัวโดยไม่ได้รับอนุญาตก่อน อาจละเมิดลิขสิทธิ์ได้ แต่สิ่งที่ดูเหมือนเป็นคีย์หลักของประเด็นนี้ น่าจะเป็นเรื่องการเปิดวาร์ปแบรนด์ที่ ต้าเหนิง ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียมากกว่า แต่ทั้งนี้ช่างแต่งหน้าดันเป็นคนเฉลยเอง ดังนั้นเหตุการณ์ดังกล่าวฝ่ายช่างแต่งหน้าก็ต้องถอดบทเรียนในการบอกพิกัดแบรนด์ต่างๆ ด้วย เพราะเป็นเรื่องยากมากที่ทุกคนในโลกจะรู้ว่าคนดังนั้นเป็นพรีเซ็นเตอร์แบรนด์อะไรบ้าง หรือติดยี่ห้อไหนอยู่ รวมทั้งสิ่งสำคัญอีกอย่างนั่นคือเรื่องของการสื่อสาร หากมีการบอกเหตุผลอย่างชัดเจน ก็เชื่อว่าทุกฝ่ายน่าจะเข้าใจมากกว่านี้

ดราม่าเกิดขึ้น มาจากประเด็นเพียงเล็กน้อย แค่ชาวเน็ตอยากใช้สินค้าตามดารา เพราะเห็นว่าสวย แต่ในโลกที่ขับเคลื่อนด้วยทุนนิยม ทุกอย่างเป็นธุรกิจ อีกทั้งความไวของโซเชียล ยิ่งทำให้ดราม่าทวีความรุนแรง และนั่นคือสิ่งที่ทุกคนต้องระวัง และปรับตัวที่จะอยู่กับโลกที่ดูแสนอ่อนไหว และบางสิ่งอาจกลายเป็นเรื่องของมูลค่านี้ให้ได้!

ชาวบ้าน 1/4