สำนักข่าวเอ็นบีซีรายงานกรณีแฟรนไชส์ร้าน “ดังกิ้นโดนัทส์” โดนลูกค้ารวมกลุ่มกันยื่นฟ้องต่อศาลในรูปของการดำเนินคดีแบบกลุ่มที่ศาลประจำเขตแคลิฟอร์เนียเหนือ โดยกล่าวหาว่าร้านโดนัทชื่อดังคิดเงินเพิ่มในอัตราที่สูงเกินไปสำหรับบางเมนู

ลูกค้ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มผู้บริโภคซึ่งไม่สามารถดื่มนมวัวได้เพราะร่างกายไม่สามารถย่อยแลกโตสในน้ำนม ดังนั้น พวกเขาจึงจำเป็นต้องขอเปลี่ยนวัตถุดิบในเมนูเครื่องดื่มที่ใช้นมวัวไปเป็นนมประเภทอื่น เช่น นมอัลมอนด์, นมถั่วเหลือง, นมข้าวโอ๊ต, นมสกัดจากมะพร้าว

ฝ่ายโจทก์ได้ยื่นสำนวนฟ้องซึ่งมีทั้งหมด 25 หน้าไปเมื่อเดือนธ.ค. ปีที่แล้ว และเรียกร้องค่าชดเชยเป็นจำนวนเงิน 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 178.5 ล้านบาท) โดยระบุว่าเมื่อพวกเขาสั่งเครื่องดื่มจากเมนูปกติแล้วขอเปลี่ยนจากนมวัวเป็นนมประเภทอื่น ทางร้านได้คิดเงินเพิ่มจากราคาปกติ โดยมีอัตราบวกเพิ่มสูงสุดอยู่ที่แก้วละ 2.15 ดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 77 บาท

ในสำนวนฟ้องยังระบุข้อมูลว่า ร้านดังกิ้นโดนัทส์มีเมนูกาแฟแบบไร้คาเฟอีนจำหน่าย แต่ไม่มีการคิดเงินเพิ่ม เท่ากับเป็นการเลือกปฏิบัติต่อลูกค้าบางกลุ่ม ซึ่งในที่นี้คือกลุ่มที่มีอาการแพ้น้ำตาลแลกโตสในน้ำนม (Lactose intolerance) เมื่อคนกลุ่มนี้ดื่มนมวัวหรือนมที่มีน้ำตาลแลกโตส จะมีอาการท้องอืด ท้องเสีย คลื่นไส้ ผายลมบ่อย เนื่องจากร่างกายไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลกโตสได้ดี 

สถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐมีข้อมูลระบุว่า จำนวน 65% ของผู้ใหญ่ชาวอเมริกันเป็นผู้ที่มีอาการแพ้น้ำตาลแลกโตส

ในสำนวนฟ้องครั้งนี้อ้างว่า อาการแพ้น้ำตาลแลกโตสคือ “ความพิการ” ประเภทหนึ่ง เพราะคนกลุ่มนี้ไม่สามารถ “เลือก” ดื่มนมได้เหมือนคนปกติที่ไม่มีปัญหาเรื่องการย่อยแลกโตส การคิดเงินเพิ่มจากราคาสินค้าและบริการตามปกติจากลูกค้ากลุ่มนี้จึงถือว่าเป็นการละเมิดกฎหมายคุ้มครองสิทธิพื้นฐานของคนพิการของสหรัฐ

นอกจากดังกิ้นโดนัทส์แล้ว ก็ยังมีหลายบริษัทที่กำลังเผชิญหน้ากับคดีฟ้องร้องในทำนองเดียวกัน

ก่อนหน้านี้ในปี 2563 แฟรนไชส์ร้านกาแฟชื่อดัง “สตาร์บัคส์” ก็โดนฟ้องร้องมาแล้ว โดยฝ่ายโจทก์กล่าวหาว่าทางร้านคิดภาษีแอบแฝงเพิ่มเข้ามาเมื่อลูกค้าสั่งเมนูเครื่องดื่มและต้องการให้เปลี่ยนจากนมวัวเป็นนมประเภทอื่น ทำให้เครื่องดื่มนั้น ๆ มีราคาสูงกว่าปกติ 

ที่มา : wsbradio.com

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES