เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 67 ศ.ดร.สุชาติ​ ธา​ดา​ธำ​รง​เวช​ ศาสตราจารย์​เศร​ษฐศาสตร์​มหภาค​ และอดีต รมว.คลัง กล่าว​ถึงการบริหารระบบเศรษฐกิจ-ดอกเบี้ย-ค่าเงิน ว่า ​1.การบริหาร​เศรษฐกิจ​ต้องบริหารเป็นระบบ​ ซึ่งเรียกว่า​ ​Macroeconomics​ ควรใช้ระบบนี้ ตัดสินใจเท่านั้น​ ไม่ควรเอา​เหตุผล​ แบบย่อย​ๆ (Microeconomics)​ ​มาใช้อธิบายเข้าไปด้วย ซึ่งส่วนใหญ่ผลลัพธ์​จะผิดตรงข้ามเลย​ เช่น​ เมื่อสัปดาห์ก่อน​ ผู้ช่วยผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ​ท่านหนึ่ง นำเหตุผลจากภาพย่อย​ (Micro)​ มาพูดว่า​ หากดอกเบี้ย​ต่ำ ประชาชนจะไปกู้เงินมากขึ้น​ แล้วเป็นหนี้มากขึ้น​ ดังนั้น​ต้องขึ้นดอกเบี้ย​ แล้วประชาชนจะกู้น้อยลง​ จึงจะเป็นหนี้น้อยลง

2.แต่หากมอง​ระบบ​ (Macro)​ ล้วนๆ​ การลดดอกเบี้ย​ (1) จะทำให้การลงทุนเอกชน (I) เพิ่มขึ้น​ (2)​ ทำให้ค่าเงินบาทอ่อนลง​ มีผลให้การส่งออกและท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น​ (X) โดยทั้ง​ 2 ตัว​แปร อยู่ใน​สมการ GDP​ = C+I+G+(X-M) จึงทำให้​ GDP​ เพิ่มขึ้น​ ทำให้ประชาชนมีรายได้สูงขึ้น​ จึงไปกู้มาเพื่อการบริโภค​ (C) น้อยลง​ และดอกเบี้ยบนยอดหนี้รวมก็น้อยลง​ด้วย ดังนั้น​ “การลดดอกเบี้ย​ จึงทำให้หนี้ครัวเรือนลดลง” จะเห็นได้ว่า​ ผลลัพธ์​ตรงข้ามกับที่ผู้ช่วยฯ​ ท่​านนั้นพูดเลย

3.การบริหารเศรษฐกิจ​ จึงต้องดูให้เป็นระบบ​ ต้องไม่เอาเหตุผล​ภาพย่อย (Micro)​ มาอ้าง​อิง​ เพราะจะผิดมากกว่าถูก ซึ่งคนมักพูดผิดๆ​เป็นประจำ​ แม้จบเศรษ​ฐศาสตร์​มาแล้ว​ จึงขอสรุปเบื้องต้นว่า​ เวลาวิเคราะห์​ระบบ​ Macroeconomics​ ไม่ควรนำเหตุผลจาก​ Microeconomics​ (ที่พูดเป็นเรื่องๆ​ แยกออกจากกัน)​ มาอ้างอิง​ด้วย​

4.ในเรื่อง​ศักยภาพ​การผลิต​ (Productivity​)​ แม้ประเทศใหญ่มากๆ​ อย่างสหรัฐ​​ เมื่อดำเนินนโยบายถูกต้อง​ ยังสามารถเติบโตได้ถึง​ 3-4%, ในไตรมาสที่​ 2, 3 ของปี​ 66 และญี่ปุ่น​ ในไตรมาส​ 3 เติบโต​ได้ 6%

5.ดังนั้น​การที่แบงก์ชาติ​ พูดว่าเรามีศักยภาพ​ เติบโตได้เพียง 3% กว่าๆ​ จึงเป็นเรื่องน่าเศร้าใจ​ สำหรับประเทศยากจนอย่างไทย​ ที่ไม่สามารถช่วยกันสร้างศักยภาพ​ทางเศรษฐกิจ​ให้เติบโตได้​ 5-6% การขาดความรู้​ความเข้าใจ​ ไม่ทำตามหลักวิชา​ โดยขึ้นดอกเบี้ยสูงเกินไป​ กดเงินเฟ้อต่ำไป​จนติดลบ​ ทำให้ระ​บบเศรษฐกิจ​แทบไม่เติบโต​ ไม่มีอนาคต และ​ประชาชน​ยากจน​

6.ประเทศจีน​ ซึ่ง​ GDP​ เติบโตกว่า​ 5% ในปี​ 66​ ก็ยังลด​ Required Reserve ratio ถึง 0.5​ point เพื่อฟื้นเศรษฐ​กิจ​ โดยไม่ได้อ้างแบบแบงก์ชาติ​ไทย​ว่า​จะฟื้นเศรษฐ​กิจ​ ต้องไปเพิ่ม​ศักยภาพ​การผลิต​ (Productivity)​ แต่แบงก์ชาติ​ไทย​ไม่ยอมลดดอกเบี้ย​ ทั้งๆ​ ที่​ GDP​ ปี​ 66​ เติบโตเพียง​ 1.8% โดยอ้างว่าดอกเบี้ยเป็นกลางจึงแสดงถึงการขาด “หลักวิชา” นับเป็นเรื่องที่โชคร้าย สำหรับประเทศและประชาชน​ไทย

7.การที่แบงก์ชาติ​พูดว่า​ หากรัฐบาลไทย​ ต้อง​การความเจริญเติบโต (GDP growth) สูงขึ้น​ ก็ต้องไปเพิ่ม​ Productivity​ แต่​คำๆ ​นี้เป็น​แนวคิดระดับ Micro​ เป็น​ตัวแปร​ตาม​ตัวอื่นๆ

8.ต้องค้นหาดูว่า​ เราจะเพิ่ม​ Productivity​ ของชาติได้อย่างไร​ คำตอบ​ คือต้องขายของได้​มากขึ้น กรณีประเทศ​ไทย​ คือส่งออกสินค้าและบริการ​ได้มากขึ้น​ จึงไปจะดึง​การใช้​กำลังการผลิต​ (Capacity)​ ให้เพิ่มขึ้น (ปัจจุบัน​ใช้เพียง​ 57% เกือบต่ำสุดในโลก)​ เมื่อเพิ่ม Capacity ได้ใกล้ 100% แล้ว​ จึงจะมีการไปซื้อ​เครื่อง​มือเครื่อง​จักร​ ที่มีเทคโนโลยี​ใหม่ๆเข้ามา​เพิ่ม​ Productivity​

9.แล้วประเทศไทยจะส่งออกมากขึ้นได้อย่างไร ก็ต้องไปลดดอกเบี้ย​ ทำให้ค่าเงินบาท​อ่อนลง​ แข่งขันได้ดี​ขึ้น ดังนั้น​การลดดอกเบี้ย​ จึงจะทำให้ Productivity​ เพิ่มขึ้น แล้วรัฐบาลยังได้ภาษีมากขึ้น​ สามารถนำไปสร้างโครงสร้างและบริการพื้นฐานมากขึ้น​ ซึ่งจะช่วยเพิ่ม​ Productivity​ ของชาติ​ อีกทางหนึ่งด้วย