เวลา 14.00 น. วันที่ 3 ก.พ. น.ส.นลิน สมบุญยิ่ง อายุ 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 30 ซอยรณสิทธิพิชัย 13 ต.ท่าทราย อ.เมืองนนทบุรี เข้าแจ้งความ ร.ต.อ.สหรัฐ เสือแก้ว รอง สว.(สอบสวน) สภ.รัตนาธิเบศร์ จ.นนทบุรี ว่าเมื่อวันที่ 2 ก.พ. 67 ที่ผ่านมา ตนได้โอนเงินจำนวน 5,000 บาท จากอีกบัญชีเพื่อมาเข้าบัญชีใช้จ่ายส่วนตัว แต่ปรากฏว่าไม่มีเงินเข้าบัญชี ตนเองคิดว่าระบบมีปัญหา จึงให้เพื่อนโอนให้อีกครั้งจำนวน 5,000 บาทเช่นกัน หลังโอนแล้วเพื่อนได้โชว์สลิปให้ดูว่าได้โอนเงินเข้าบัญชีให้แล้ว แต่ตนก็ยังไม่เห็นเงินเข้ามาในบัญชีของตัวเอง จึงคิดว่าระบบทำธุรกรรมเกิดปัญหา จึงได้ไปติดต่อธนาคารแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นธนาคารที่เปิดบัญชี

หลังจากตรวจสอบกับทางธนาคาร พบว่ามีการโอนเงินทั้งสองครั้งเข้าบัญชีจริง โดยครั้งแรกโอนเข้ามาในบัญชีของตน แต่ปรากฏว่าหลังจากนั้น 1 นาที เงินได้ถูกโอนออกไปบัญชีคนอื่น และครั้งที่สองได้โอนเข้าบัญชีและอีก 2 นาที เงินได้ถูกโอนออกไปยังบัญชีอื่น ทั้งที่ตนไม่ได้ใช้โทรศัพท์เลย จึงเข้าแจ้งความให้ตำรวจช่วยตรวจสอบบัญชีปลายทางที่เงินถูกโอนไป

น.ส.นลิน ผู้เสียหาย กล่าวว่า ตนจะมีบัญชีเงินเดือนกับบัญชีใช้จ่าย ตนได้โอนเงินจากบัญชีเงินเดือนมาไว้บัญชีใช้จ่าย เพื่อใช้จ่ายระหว่างเดือน ตนคิดว่าอาจจะมีสัญญาณเน็ตไม่ดี แต่พอตอนจะใช้เงินมันยังไม่เข้า ก็เลยให้น้องที่นั่งกินข้าวอยู่ด้วยกัน โอนเข้ามาให้ แล้วน้องก็โชว์สลิปให้ดูว่าโอนให้แล้วนะ ตนก็หยิบมือถือขึ้นมาเช็กดูแต่มันไม่มียอดเงิน มันออกไปแล้ว

เมื่อตรวจสอบพบว่าเงินที่โอนจากบัญชีเงินเดือนเข้าบัญชีใช้จ่าย หายไปภายใน 1 นาที และครั้งที่ 2 หายไปภายใน 2 นาที รวมเป็นเงิน 10,000 บาท ตนเป็นแค่พนักงานบริษัท ยอดเงินที่หายไปมันมากสำหรับตน หลังจากได้ติดต่อธนาคารผ่านไลน์ ให้แจ้งอายัดบัญชี เขาก็อายัดให้และให้ไปแจ้งความ นำเอกสารไปยื่นที่สาขาที่เปิดบัญชี ซึ่งตนยังไม่ได้ไปยื่นเอกสาร

ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้ติดตั้งแอปหรือกดลิงก์อะไรเลย ตนไม่ทราบว่าเงินออกไปได้ยังไง วันนี้ตำรวจได้ช่วยประสานงานให้ โดยบอกว่าไม่ใช่ความผิดของตน ไม่ใช่ความผิดของโทรศัพท์ของตน คือเป็นความผิดของธนาคาร ที่ธนาคารควรรับผิดชอบเพราะเงินหายไป โดยที่ตนไม่ได้ถูกหลอกให้โอนเงิน ไม่ได้กดลิงก์หรือโหลดแอปใดๆ ทั้งสิ้น แต่เงินถูกดูดจากบัญชีไป